หัวใจบินได้ของดักแด้น้อย

หัวใจบินได้ของดักแด้น้อย
Volume: 
ฉบับที่ 32 เดือนสิงหาคม 2561
Column: 
Behind the Scene
Writer Name: 
ศศิกานต์ คำรักษ์เกียรติ งานการพยาบาลผู้ป่วยใน ฝ่ายการพยาบาล ศูนย์การแพทย์สิริกิติ์ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล

หัวใจบินได้ของดักแด้น้อย

ภาพดวงอาทิตย์สาดแสงอ่อนทาทับขอบฟ้าราวภาพที่อยู่บนผืนผ้าใบ ดวงอาทิตย์สีส้มกลมโตกำลังค่อย ๆ คล้อยต่ำลง นกฝูงน้อยกำลังพากันบินผ่านไป คงจะรู้สึกดีมากเลยทีเดียวหากเห็นภาพนี้ที่ริมทะเลบนยอดเขา

หากแต่นี่คือห้องสี่เหลี่ยมเล็ก ๆ ที่มีเตียงหนึ่งเตียง โทรทัศน์หนึ่งเครื่อง โซฟานั่งหนึ่งตัว เหยือกน้ำ แก้วสองใบ ขวดน้ำเกลือสำหรับใช้ภายนอก ถังสามใบถูกวางเรียงกันไว้อย่างเป็นระเบียบและเสาน้ำเกลือที่ดูเหมือนจะรับภาระหนักกว่าใครไปสักหน่อย แม้สิ่งอำนวยความสะดวกโดยทั่วไปจะเพียงพอ แต่ก็ยังไม่สามารถชดเชยอิสรภาพที่เสียไปได้เลย

หัวใจบินได้ของดักแด้น้อย

ถ้าพูดว่า “เด็กวัย 6 ขวบ” ภาพในความคิดโดยทั่วไปอาจเห็นภาพเด็กกำลังวิ่งเล่นอย่างสนุกสนาน วิ่งไล่จับกันอย่างไม่รู้เหน็ดเหนื่อยกับเพื่อน ๆ รอยยิ้มและเสียงหัวเราะเต็มที่แบบไม่ต้องเขินอายใคร และร่างกายที่แข็งแรงปราดเปรียว แต่ภาพที่ฉันเห็นไม่เป็นเช่นนั้น เด็กหญิงตัวน้อย ๆ นอนขดอยู่ใต้ผ้าห่มสีขาวผืนใหญ่กว่าตัวหลายเท่า ซึ่งผ้าถูกดึงขึ้นมาถึงจมูก บนศีรษะมีผ้าขนหนูผืนเล็กปิดไว้ เหลือเพียงดวงตาคู่น้อยคู่นั้นที่ให้ฉันมองเห็นได้

“น้องพิมพ์ วันนี้เป็นอย่างไรบ้างคะ”

“...”

“ตอนนี้ปวดตรงไหนคะน้องพิมพ์”

“...” มีเพียงความเงียบที่สื่อผ่านดวงตาเป็นคำตอบ

“น้องพิมพ์ตอบหน่อยสิลูก” คุณยายน้องพิมพ์พูดคะยั้นคะยอพร้อมหันมาหัวเราะเบา ๆ กับฉัน

“ไม่เป็นไรค่ะคุณยาย น้องคงอยากพักแน่เลย”

“พี่ไปก่อนนะน้องพิมพ์”

“...”

ฉันเก็บถาดยาและเดินออกไปจากห้อง พอประตูปิดลงยังไม่ทันสนิท ฉันก็ได้ยินเหมือนเสียงน้องคุยกับคุณยายฉันเลยหันหลังกลับไปมองผ่านช่องกระจกที่ประตู เห็นน้องลุกขึ้นนั่งบนเตียงและชวนคุณยายคุย พลันสายตาคุณยายมองมาที่ฉันพอดี และยิ้มให้ น้องพิมพ์หันมาดูตามและรีบกลับลงไปนอนห่มผ้าเหมือนเดิม

ทุก  ๆ เช้าเวลาประมาณตี 5 ครึ่ง  คุณตาจะมากดออดที่หน้าวอร์ด “ติ้งต่อง” เมื่อคุณตาเดินเข้ามาจนผ่านเคาน์เตอร์พยาบาลก็จะทักทายด้วยท่าทีสุภาพ “สวัสดีครับคุณหมอ” คุณตามักเรียกทุกคนในวอร์ดว่าคุณหมอ แม้ว่าจะเคยแซวคุณตาอย่างขำ ๆ ไปว่านี่พยาบาลค่ะคุณตา ไม่ใช่หมอ คุณตาก็บอกว่า “ขอเรียกว่าคุณหมอละกันครับ ตาชินแบบนี้ซะแล้ว” ทุกเช้าหลังจากคุณตาใส่ชุดเสื้อกาวน์พลาสติก ใส่หมวกและผ้าปิดจมูกแล้วก็เข้าไปห้องน้องพิมพ์ พอคุณตาเข้าไปได้สักพักก็จะเห็นคุณยายเดินออกมาและขอผ้าเช็ดตัวไปอาบน้ำ เป็นภาพที่ชินตาของพยาบาลเวรดึก ราวกับพยาบาลมาเปลี่ยนเวรกันอย่างใดอย่างนั้น

หัวใจบินได้ของดักแด้น้อย

ครั้งที่ฉันเข้าไปให้การพยาบาล คุณตาคุณยายจะบอกน้องพิมพ์ให้สวัสดีทุกครั้ง น้องพิมพ์ก็จะค่อย ๆ เงยหน้าขึ้นมาพนมมือสวัสดี แต่ไม่พูดอะไร แล้วก้มหน้าเล่นแท็บเล็ตต่อไป บางทีอาจมียิ้มเล็ก ๆ ที่มุมปากให้พอชื่นใจ วันนี้ในเวรไม่ยุ่งมากนัก ฉันจึงหยิบกระดาษมาวาดรูป ขีดเขียนอะไรเล่น ๆ แล้วก็นึกขึ้นได้ว่า เอ...วาดให้น้องพิมพ์บ้างดีกว่า คิดได้ดังนั้นฉันจึงเริ่มวาดหน้ากลมมน แววตาสดใส ผมสั้นเหนือบ่าและมีหน้าม้าบาง ๆ แม้ตอนนี้น้องจะไม่มีผมแล้ว แต่ฉันก็ยังจำภาพก่อนหน้านี้ได้ดี เมื่อฉันวาดเสร็จจึงนำไปให้น้องพิมพ์ เมื่อเข้าไปในห้องฉันนั่งลงข้าง ๆ เตียง ยื่นกระดาษที่มีรูปวาดให้ น้องยกมือขึ้นขอบคุณโดยไม่พูดอะไร มือน้อย ๆ รับกระดาษไปและนั่งเพ่งพิจารณา ฉันเห็นแววตาของน้องพิมพ์ดูต่างจากตอนที่ฉันเข้ามาในวันอื่น ๆ มาก ตอนนี้ดูมีประกายบางอย่าง แม้น้องจะไม่ได้บอกว่าดีใจ แต่ฉันก็เห็นความสุขผ่านดวงตาคู่นั้น

“น้องพิมพ์ชอบมั้ยคะ” น้องพิมพ์พยักหน้าและยิ้มเบา ๆ แบบไม่เห็นฟัน

“พี่ฝากระบายสีด้วยนะน้องพิมพ์” น้องพิมพ์พยักหน้าและยิ้มมากกว่าเดิม

ยังไม่ทันที่ฉันจะออกจากห้อง เสียงเบา ๆ ของน้องพิมพ์ก็บอกคุณยายให้หยิบสีให้ “หยิบสีให้น้องหน่อยเจ้า”

ฉันเกรงว่าน้องจะเขินอาย จึงค่อย ๆ เปิดประตูและออกจากห้องไป ไม่นานเมื่อฉันกลับเข้ามาในห้องน้องพิมพ์อีกครั้ง พอฉันเดินเข้าไป น้องพิมพ์ก็ยื่นกระดาษแผ่นเดิมให้ฉันด้วยท่าทีภาคภูมิใจ น้องนั่งตัวตรงและพยายามยืดคอดูภาพที่ฉันกำลังถือ ฉันจึงนั่งลงข้าง ๆ น้อง “น้องพิมพ์ระบายคนเดียวเลยเหรอ” น้องพิมพ์พยักหน้า และเอามือชี้ไปที่รูป เมื่อรวมกับรอยยิ้มที่เจืออยู่บนหน้าน้องตลอดเวลาทำให้ฉันมีความสุขอย่างบอกไม่ถูก วันนี้เป็นวันที่ฉันขึ้นเวรมาทำงานแต่กลับรู้สึกว่าฉันได้ทำมากกว่างาน

หัวใจบินได้ของดักแด้น้อย

วันนี้เป็นวันลอยกระทง โดยทั่วไปใคร ๆ ก็อยากไปร่วมสนุกกับประเพณีดังกล่าว แต่ทว่าวันสำคัญจะมีค่าอะไรหากแต่ร่างกายถูกจำกัดไว้เพียงห้องสี่เหลี่ยมเล็ก ๆ น้องพิมพ์ก็เช่นกัน ที่ตอนนี้ถูกการรักษาจำกัดพื้นที่ไว้หมดแล้ว มีเพียงโทรทัศน์ตรงหน้าที่ฉายภาพงานประเพณีลอยกระทงให้น้องพอจะมีส่วนร่วมในการเป็นผู้ชมได้บ้าง แต่ฉันอยากให้น้องรู้สึกว่าได้ทำอะไรมากกว่านั้น มากกว่าเป็นเพียงผู้ชม เพราะตอนเราเด็ก ๆ เราก็มักอยากออกไปร่วมกิจกรรมลอยกระทง ได้นั่งพับใบตอง หาดอกไม้หลากสีมาใส่ และออกไปลอยกระทงกับครอบครัว ไปยืนมองดูพลุหลากสีสันที่กำลังพุ่งขึ้นไปและกระจายทาทับเต็มท้องฟ้า ดั่งดอกไม้หลากสีที่มีฉากหลังเป็นสีดำและมีพระจันทร์กลมโตสีเหลืองเป็นประกาย ที่คอยมองและยิ้มไปพร้อมกับเรา ฉันหยิบกระดาษสีขาวออกมาจากลิ้นชัก ค่อย ๆ  บรรจงกดดินสอลง ร่างภาพเด็กน้อยผมสั้น ในมือถือกระทงเล็ก ๆ รอบกายมีดอกไม้ ดาวและธงหลากสี และที่ขาดไม่ได้ บนฟ้ามีพระจันทร์เต็มดวงกลมโต ฉันเดินเข้าไปในห้องพร้อมกระดาษแผ่นนั้น “สุขสันต์วันลอยกระทงนะน้องพิมพ์” น้องพิมพ์ยิ้มกว้างพร้อมรับกระดาษไป สีหน้าและแววตาของน้องช่างดูมีความสุขเหลือเกิน มือน้อย ๆ  จับดินสอสีแท่งยาว บรรจงลงสีภาพทีละส่วน ทีละส่วนไปเรื่อย ๆ ภาพที่ถูกระบายด้วยสีไม้ธรรมดา ๆ ใบนี้ดูจะมีความพิเศษขึ้นมาจริง ๆ เมื่อรวมกับภาพเด็กน้อยที่ก้มหน้าก้มตาตั้งใจระบายมันออกมา น้องพิมพ์ค่อย ๆ เลือกสีที่ตนเองชอบ ระบายทุกองค์ประกอบในภาพอย่างไม่รู้สึกเมื่อยล้าใด ๆ นี่สินะ หัวใจที่ถูกปลดปล่อย แม้ร่างกายจะถูกจำกัดด้วยการรักษาแต่หัวใจได้โบยบินออกไปสู่อิสรภาพแล้ว

วันสำคัญจะมีความหมายก็ต่อเมื่อถูกให้ความสำคัญ

หัวใจของมนุษย์ก็เช่นกัน ไม่ได้สำคัญว่าที่นั้นคือสถานที่ใด 

มีพื้นที่กว้างหรือแคบแค่ไหน มีคนมากหรือน้อยเพียงใด 

หากแต่ขึ้นกับความสำคัญที่เขาได้รับมาเติมเต็มหัวใจต่างหาก

ที่เป็นตัวบ่งชี้ว่าเขา

“มีความหมาย”

และการมีความหมายนี้เอง

จะเป็นสิ่งที่ช่วยปลดปล่อยหัวใจที่อ่อนแรง ร่างกายที่อ่อนล้า

ให้กลับมามีพลังและพร้อมที่จะโบยบินไปข้างหน้าอย่างมีความหวัง

ทั้งในวันนี้และวันต่อไป ไม่เพียงแต่หัวใจของผู้รับที่พองโตและมีพลังขึ้น 

หัวใจของพยาบาลตัวเล็ก ๆ อย่างฉันก็ได้โบยบินไปพร้อม ๆ กัน

Column File (PDF): 
เนื้อหาภายในฉบับที่ 32