ขอบเขตการดำเนินงาน

วิสัยทัศน์ พันธกิจ

1)            รักษามาตรฐานการดูแลผู้ป่วยหนักให้มีประสิทธิภาพที่ดีตลอดไป และวิจัยพัฒนาการดูแลรักษาเพิ่มเติม เพื่อให้คุณภาพการรักษาดียิ่งขึ้น

2)            สร้างมาตรการคัดกรอง ป้องกัน และรักษาวัณโรคในบุคลากรทางการแพทย์ของภาควิชาอายุรศาสตร์อย่างต่อเนื่อง พร้อมสืบค้นและเสนอแนะวิธีการแก้ไข หากพบมีอุบัติการณ์การติดเชื้อวัณโรคเพิ่มขึ้น

3)            สร้างระบบการดูแลผู้ป่วยวัณโรค (ผู้ป่วยนอก) การลงทะเบียน และการติดตามผู้ป่วยวัณโรคในภาควิชาอายุรศาสตร์ โดยอิงมาตรฐานสากลขององค์การอนามัยโลก ตลอดจนสร้างเครือข่ายประสานงานกับสถานพยาบาลที่สังกัดกระทรวงสาธารณสุข และอาจขยายโครงการให้ครอบคลุมผู้ป่วยวัณโรคทั้งหมดของโรงพยาบาลรามาธิบดีในอนาคต

4)            สร้างระบบการดูแลผู้ป่วยโรคปอดเรื้อรังอย่างครบวงจร โดยผลักดันให้มีโครงการฟื้นฟูสมรรถภาพปอด (pulmonary rehabilitation program) ที่สมบูรณ์แบบ เพื่อยกระดับมาตรฐานการดูแลผู้ป่วยทั้งใน รพ.รามาธิบดี และเผยแพร่สู่โรงพยาบาลรอบนอก อันจะเป็นการเป็นการเพิ่มคุณภาพชีวิต และนำไปสู่การลดจำนวนการใส่ท่อช่วยหายใจ/เครื่องช่วยหายใจโดยไม่จำเป็นของผู้ป่วยเหล่านี้ เมื่อเข้าใกล้วาระสุดท้ายของโรค

5)            ศึกษาเพื่อหาอุบัติการณ์และลักษณะอาการของผู้ป่วย COPD ในประชากรไทย ตลอดจนแนว

ทางการป้องกันการเกิดโรค

6)            ศึกษาเพื่อหาอุบัติการณ์และลักษณะทางคลินิกของภาวะ sleep breathing disorder ในประชากรไทย และสร้างแนวทางการป้องกันรักษา โดยประสานงานกับแพทย์สาขาอื่นที่เกี่ยวข้อง

7)            ขยายโครงการดูแลผู้ป่วยโรคหืดแบบบูรณาการณ์ ไปสู่โรงพยาบาลรอบนอกเพื่อพัฒนาการรักษาโรคหืดในระดับชุมชน

ขอบเขตการดำเนินงานของสาขาวิชา

    วิชาโรคระบบการหายใจนั้นเกี่ยวข้องกับความผิดปกติของทางเดินหายใจส่วนต้น หลอดลม เนื้อปอด ทรวงอก และผนังทรวงอก โรคที่เกิดขึ้นอาจเกิดจากภาวะการติดเชื้อ (infection) เนื้องอก (neoplasm) ความไวผิดปกติของหลอดลม (bronchial hyperreactivity) และความผิดปกติของเนื้อปอดเอง ทั้งที่ไม่ทราบสาเหตุหรือทราบสาเหตุ โดยอาจเป็นผลจากสิ่งแวดล้อมในบรรยากาศ หรือเป็นผลต่อเนื่องจากโรคของอวัยวะหรือระบบอื่นๆ ในการดูแลรักษาผู้ป่วยโรคระบบการหายใจนั้น ผู้รักษาไม่เพียงแต่ต้องมีความรู้พื้นฐานทางสรีระวิทยาของระบบการหายใจอย่างดีแล้ว ยังต้องรอบรู้ถึงการทำงานของอวัยวะอื่นที่เกี่ยวข้องด้วย นอกจากนั้นยังจำเป็นต้องมีความแตกฉานในการรักษาโรคติดเชื้อของปอด การใช้ยาปฏิชีวนะ ตลอดจนการดูแลรักษาโรคมะเร็ง และผู้ป่วยโรคเรื้อรังในระยะสุดท้าย อนึ่งเป็นที่ประจักษ์ว่าภาวะการหายใจล้มเหลวนั้น มิได้จำกัดแค่ความผิดปกติอันเนื่องจากพยาธิสภาพของปอดเอง แต่เป็นปรากฎการณ์ที่เกิดร่วมกับความล้มเหลวของอวัยวะระบบอื่นๆ ในผู้ป่วยภาวะวิกฤตทั่วๆ ไป (multiple organ failure in critically-ill patient) ดังนั้นในการรักษาพยุงชีวิตผู้ป่วยให้พ้นจากภาวะการขาดออกซิเจน (hypoxia) แพทย์ผู้เชี่ยวชาญโรคระบบการหายใจ จึงจำเป็นต้องทำหน้าที่ดูแลรักษาผู้ป่วยภาวะวิกฤตของระบบอื่น ๆ ไปพร้อมๆ กันแบบองค์รวมและอย่างแยกกันไม่ออก (holistic critical care) นอกจากนั้นทักษะความชำนาญในการดูแลผู้ป่วยภาวะการหายใจล้มเหลวและผู้ป่วยภาวะวิกฤตนั้นเป็นศาสตร์ซึ่งเกี่ยวข้องกับการใช้และพึ่งเครื่องมือช่วยชีวิตและเครื่องมือเฝ้าประเมินจำนวนมาก  แพทย์ผู้เชี่ยวชาญโรคระบบการหายใจจึงจำเป็นต้องมีความรู้พื้นฐานทางกลศาสตร์การหายใจเป็นอย่างดีและมีความสามารถในการดูแล และทำนุบำรุงรักษาเครื่องมือให้มีคุณภาพดีอย่างสม่ำเสมอ ประโยชน์จึงเกิดกับผู้ป่วยและได้ประสิทธิภาพการรักษาที่สูงที่สุด ด้วยเหตุผลดังกล่าว ขอบข่ายภาระงานของหน่วยโรคระบบการหายใจและเวชบำบัดวิกฤต จึงพอสรุปได้ดังนี้·      

งานการเรียนการสอน   

  • ระดับก่อนปริญญา สอนวิชาโรคระบบการหายใจ (pulmonary medicine) และวิชาเวชบำบัดวิกฤต (critical care medicine) แก่นักศึกษาแพทย์ และนักศึกษาพยาบาลทั้งจากคณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี และจากสถาบันการศึกษาอื่น
  • ระดับหลังปริญญา สอนวิชาโรคระบบการหายใจและวิชาเวชบำบัดวิกฤตแก่แพทย์ประจำบ้าน สาขาอายุรศาสตร์ทั่วไป ทั้งจากคณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี และจากสถาบันอื่น และเป็นสถาบันฝึกอบรมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ (ต่อยอด) อายุรศาสตร์สาขาโรคระบบการหายใจและภาวะวิกฤตระบบหายใจ (pulmonary and pulmonary critical care medicine) ของแพทยสภา หลักสูตร 2 ปี โดยรับแพทย์ได้ชั้นปีละ 5 คน แต่ปัจจุบันรับ 4 คนต่อชั้นปี

งานการบริการ   

  • โรคระบบการหายใจ
  1. ดูแลรักษาผู้ป่วยโรคระบบการหายใจในภาควิชาอายุรศาสตร์ และให้คำปรึกษา/ดูแลผู้ป่วยระบบการหายใจจากภาควิชาอื่นๆ ทั้งผู้ป่วยนอกและผู้ป่วยที่รับตัวไว้ในหอผู้ป่วย
  2. บริการการทดสอบสมรรถภาพปอดแก่ผู้ป่วยในโรงพยาบาลรามาธิบดี  และผู้ป่วยปรึกษาจากโรงพยาบาลอื่นๆได้แก่  pulmonary function test (เช่น spirometry, lung volumes, diffusing capacity), broncho-provocative test, cardio-pulmonary exercise test
  3. บริการการส่องกล้องหลอดลมคอ (bronchoscopy) ดูความผิดปกติของทางเดินหายใจล้างน้ำ (broncho-alveolar lavage) และตัดชิ้นเนื้อ (bronchial biopsy) เพื่อส่งตรวจโดยผ่าน fiberoptic bronchoscope การเผาทำลายเนื้องอกในหลอดลมโดยใช้ Nd-Yag laser ผ่าน rigid/fiberoptic bronchoscope การถ่างขยายหลอดลม (bronchoplasty) โดยวิธี balloon dilatation การใส่เครื่องถ่างขยายหลอดลมถาวร (endotracheal/endobronchial stent placement)
  4. บริการการตรวจเพื่อค้นหาความผิดปกติของการหายใจขณะหลับ (sleep breathing disorder) โดยการตรวจ polysomnography
  • โรคระบบการหายใจและเวชบำบัดเวชบำบัดวิกฤต
  1. ดูแลรักษาผู้ป่วยภาวะวิกฤตใน intensive care unit จำนวน 8 เตียงและ intermediate care unit จำนวน 20 เตียง
  2. บริหารเตียงของ intensive care unit และ intermediate care unit โดยควบคุมให้การใช้เตียงหมุนเวียนผู้ป่วยเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด
  3. ตรวจสอบ ดูแล และควบคุมคุณภาพการบริการรักษาผู้ป่วยโรคระบบการหายใจและผู้ป่วยภาวะวิกฤตใน intensive care unit และ intermediate care unit ให้เป็นไปอย่างได้มาตรฐานระดับสากล
  4. บริการทำความสะอาด บำรุงรักษาและจัดหาเครื่องช่วยหายใจตลอดจนอุปกรณ์อื่นๆ ที่เกี่ยวข้องให้แก่ผู้ป่วยในภาควิชาอายุรศาสตร์ทั้งหมด เพื่อให้ผู้ป่วยมีเครื่องมือใช้อย่างเพียงพอ มีเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพดี ทันสมัย และมีอายุการใช้งานนานที่สุด

งานวิจัย

    งานวิจัยที่ได้ทำและส่งเสริมให้ทำมักเป็นการวิจัยทางคลินิก (clinical research)  เนื่องจากเป็นหน่วยงานที่มีภาระรับผิดชอบด้านการบริการและการเรียนการสอนมาก งานวิจัยจึงมุ่งเน้นเฉพาะงานวิจัยที่เพิ่มพูนความรู้ต่อการรักษา เป็นข้อมูลพื้นฐานที่สำคัญของคนไทยหรือของประเทศไทย ตลอดจนเพื่อยกระดับมาตรฐานการดูแลรักษาผู้ป่วยไทย งานวิจัยที่ได้กระทำไป หรือกำลังกระทำของหน่วย ได้แก่

  • เชื้อที่เป็นสาเหตุของปอดอักเสบชุมชนในประเทศไทย
  • ภาวะ adult respiratory distress syndrome ในผู้ป่วยไทย
  • มาตรฐานการดูแลรักษาผู้ป่วยวิกฤติของไทย
  • ค่า spirometry และ lung volume ของคนไทยปกติ
  • อุบัติการณ์และระบาดวิทยาของ sleep breathing disorder ในคนไทย
  • โรคหืดและการบริหารจัดการที่ห้องฉุกเฉิน
  • โรค COPD-Survival ในผู้ป่วยไทย
  • การศึกษา hemodynamic ในผู้ป่วยติดเชื้อมาเลเรียที่รุนแรง  
  • การประดิษฐ์เครื่อง IMV/CPAP ขึ้นใช้เองในการช่วยหย่าเครื่องช่วยหายใจ
  • ผลของการรักษาปอดอักเสบชุมชนภายหลังการปฏิบัติตาม guideline
  • Ventilator-associated pneumonia ในภาควิชาอายุรศาสตร์
  • การบริหารจัดการระบบการดูแลผู้ป่วยหนักของภาควิชาอายุรศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี การคัดกรอง ป้องกัน และรักษาวัณโรคในบุคคลากรทางการแพทย์ของภาควิชาอายุรศาสตร์อย่างต่อเนื่อง พร้อมที่จะทำการปรับเปลี่ยนโครงสร้างหอผู้ป่วย ถ้ามีการระบาดของโรคมากขึ้น และอื่น ๆ

ผลงานที่เป็นเอกลักษณ์ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน

  1. มีค่าอ้างอิงการทดสอบสมรรถภาพปอดในคนไทยปกติ (normal Thai predicted spirometric value) ใช้ตั้งแต่ปี พ.ศ.2528
  2. ประเมินความเป็นไปได้และความน่าเชื่อถือ (assessment and validation) ของระบบ APACHE II System เมื่อนำมาใช้ในผู้ป่วย ICU ของไทยตั้งแต่ปี พ.ศ.2533
  3. ประเมินประสิทธิภาพการรักษาผู้ป่วยหนักของภาควิชาอายุรศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี (hospital performance) ได้ค่า predicted death ต่อactual death เท่ากับ 1.17 ในปี พ.ศ.2533
  4. แต่งตำราชื่อ การดูแลรักษาโรคระบบหายใจในผู้ใหญ่ (respiratory care in adult) ตีพิมพ์ในปีพ.ศ.2535
  5. เปิดบริการตรวจรักษาโรคเกี่ยวกับการนอนหลับและตรวจ polysomnogram ตั้งแต่ปี พ.ศ.2537
  6. บริการทดสอบสมรรถภาพปอด (spirometry, lung volume, DLCO) โดยใช้ body plethysomgraphy ตั้งแต่ปี พ.ศ.2538
  7. บริการตรวจ cardio-pulmonary exercise test ตั้งแต่ปี พ.ศ.2538
  8. บริการจัดการการดูแลผู้ป่วยวิกฤตของภาควิชาอายุรศาสตร์ใหม่ โดยจัดให้มี intermediate care unit เพิ่มเติมจากแผนก ICU และ CCU ทำให้การบริหารจัดการและการดูแลรักษาผู้ป่วยวิกฤตของภาควิชาอายุรศาสตร์ แยกจากผู้ป่วยอายุรศาสตร์สามัญทั่วไปอย่างชัดเจน ทั้งนี้ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2541 เป็นผลให้จำนวนวันครองเตียงของผู้ป่วยในอายุรศาสตร์ลดลงร้อยละ 25 อัตราตายลดลงร้อยละ 40 และอัตรา predicted death ต่อ actual death ใหม่เท่ากับ 1:0.7
  9. ปรับปรุงตำราเรื่อง การดูแลรักษาโรคระบบหายใจในผู้ใหญ่  (Respiratory Care in Adult)  ฉบับใหม่ตีพิมพ์ในปี พ.ศ.2545
  10. โครงการฟื้นฟูสมรรถภาพปอดผู้ป่วยโรคหลอดลมอุดกั้นเรื้อรังโดยวิธีการออกกำลังกายแบบไทเก๊ก
  11. โครงการดูแลผู้ป่วยโรคหืดแบบบูรณาการณ์ทั้งในห้องฉุกเฉิน แผนกผู้ป่วยนอก และการดูแลตนเองที่บ้าน