คลอดที่รามาธิบดี ดีอย่างไร?

     
     ขึ้นชื่อว่า .. การกำเนิด .. หลายคนก็คงนึกถึงภาพคุณแม่ตั้งครรภ์ คุณแม่คลอดลูก การวางแผนครอบครัวเพื่อเตรียมความพร้อมที่จะมีบุตร แล้วเมื่อมีการตั้งครรภ์ด้วยความรักจากพ่อแม่เกิดขึ้นแล้ว กระบวนการถัดไปของการดูแลลูกใครครรภ์ก็คือ การฝากครรภ์และดูแลครรภ์ในช่วง 9 เดือนของคุณแม่ จนเมื่อถึงเวลาของการกำเนิด คุณแม่ก็จะตัดสินใจที่จะคลอดในแบบวิธีต่างๆ ทั้งคลอดเองตามธรรมชาติ คลอดในน้ำ และผ่าคลอด

     อุแว้ .. อุแว้ .. เมื่อถึงเวลาคลอดแล้ว จะมีการเลือดวิธีคลอดอย่างไรดี แล้วการคลอดแต่ละแบบมีความแตกต่างกันอย่างไร รวมไปถึงคลอดที่โรงพยาบาลรามาธิบดีนั้น ดีอย่างไร  เรามีคำตอบจาก รศ.นพ.พัญญู พันธ์บูรณะ ภาควิชาสูติศาสตร์-นรีเวชวิทยา คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล มาฝากกัน

เลือกคลอดแบบใดอย่างไรดี

     การคลอดในปัจจุบันที่ทราบกันจะมีอยู่ 2 แบบ ได้แก่ การคลอดเองตามธรรมชาติ และการผ่าตัดคลอด ซึ่งการคลอดแต่ละแบบก็มีข้อดีข้อเสียแตกต่างกัน คุณแม่มีสิทธิที่จะเลือกว่าจะคลอดแบบใด ซึ่งแพทย์มักจะให้คำแนะนำโดยคำนึงถึงพื้นฐานของความปลอดภัย ฉะนั้น หน้าที่ของบุคลากรทางการแพทย์ไม่ว่าจะเป็นแพทย์เองหรือพยาบาลที่จะดูคุณแม่ที่มาฝากครรภ์ก็มักจะให้คำแนะนำที่เหมาะสมสำหรับการเลือกวิธีคลอด เมื่อคุณแม่เริ่มมาฝากครรภ์ แพทย์จะทำการตรวจครรภ์และซักประวัติเพื่อตรวจหาโรคประจำตัว รวมไปถึงการวินิจฉัยว่ามีภาวะความเป็นที่จะต้องทำการผ่าตัดคลอดหรือไม่ เช่น วางแผนไว้ว่าจะตลอดเอง แต่พบปัญหาว่าปากมดลูกไม่เป็นหรือเด็กตัวโตเกินไป ก็จำเป็นจะต้องทำการผ่าตัดคลอด เป็นต้น

ความแตกต่างของการคลอดธรรมชาติกับการผ่าตัดคลอด

     ความแตกต่างของการคลอดธรรมชาติกับการผ่าคลอดนั้น ไม่มีความต่างกันมากนัก เพราะสิ่งที่สำคัญที่สุดคือต้องการให้คุณแม่และลูกคลอดได้อย่างปลอดภัยที่สุด ซึ่งวิธีการคลอดธรรมชาติเป็นวิธีที่คุณแม่เลือกมากที่สุดและเป็นวิธีที่เจ็บตัวน้อยที่สุด เพราะไม่มีแผล พื้นตัวเร็ว ส่วนการผ่าตัดตลอดนั้น คุณแม่อาจไม่เจ็บเพราะต้องทำการวางยาสลบ เมื่อตื่นมาก็จะเห็นหน้าลูกเลย แน่นอนว่าการผ่าตัดผ่านหน้าท้องก็จะมีแผลผ่าตัดยาวหน่อย และมีการพื้นตัวช้ากว่าคุณแม่ที่คลอดปกติ ทั้งยังอาจเกิดภาวะแทรกซ้อนจากการผ่าตัดได้ เช่น การผ่าตัดอาจไปโดนอวัยวะข้างเคียง หรือแม้แต่ตัวเด็กเองอาจได้รับการบาดเจ็บเช่นเดียวกันจากการลงมีดผ่าตัดได้ แน่นอนเป็นหน้าที่หลักของแพทย์ที่ต้องให้ความรู้แก่คุณแม่ก่อนว่า คลอดแต่ละแบบมีผลอย่างไร

ความพร้อมในการดูแลของทีมแพทย์ เมื่อคุณแม่มาฝากครรภ์

     ต้องบอกว่าโรงพยาบาลรามาธิบดีนั้นเป็นโรงเรียนแพทย์ระดับชั้นนำของประเทศ ฉะนั้นก็จะมีอุปกรณ์การแพทย์ที่ครบครัน ทั้งการดูแลคุณแม่ที่มาฝากครรภ์หรือทารกที่คลอดแล้ว อีกทั้งโรงพยาบาลรามาธิบดียังสามารถให้การดูแลทารกที่มีน้ำหนักน้อยค่อนข้างดี และมีชื่อเสียงในระดับประเทศ นอกจากนี้ หากกรณีที่คุณแม่มีภาวะแทรกซ้อนอื่นร่วมด้วย ก็ยังมีทีมระดับอาจารย์แพทย์ผู้เชี่ยวชาญร่วมให้การดูแลรักษาอย่างเป็นระบบอีกด้วย ฉะนั้น คุณแม่ที่มาฝากครรภ์และมาคลอดที่โรงพยาบาลรามาธิบดีจะได้รับการดูแลจากทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเป็นอย่างดี

การเตรียมตัวเรื่องค่าใช้จ่ายและการเตรียมตัวก่อนคลอด

     เนื่องด้วยโรงพยาบาลรามาธิบดีมีอัตราการทำคลอด 2 แบบ ทั้งแบบคลอดเองธรรมชาติกับผ่าตัดคลอด ซึ่งสามรถขอคำปรึกษาจากอาจารย์แพทย์ได้ โดยห้องคลอดของที่โรงพยาบาลรามาธิบดีขณะนี้มีมาตรฐานคุณภาพและมีการดูแลคุณแม่ที่มาฝากครรภ์อย่างใกล้ชิด  ส่วนการเตรียมตัวก่อนคลอดนั้น หากเป็นคุณแม่ที่มาฝากครรภ์ที่โรงพยาบาลรามาธิบดี ที่นี่ก็จะมีการจัดคอร์สอบรมการเตรียมตัวในทุก 3 เดือน ตั้งแต่ตั้งครรภ์อ่อนๆ จนถึงใกล้คลอด และจะมีการให้คำแนะนำสำหรับคุณแม่ที่ใกล้คลอดว่ามีอาการอะไรบ้างที่บ่งบอกว่าให้มาโรงพยาบาล ต้องบอกก่อนว่าท้องแรกอาจใช้เวลานานในการเรียนรู้ แต่เมื่อท้องที่ 2 แล้ว จะใช้เวลาเรียนรู้เร็วมากขึ้น

ที่มา : http://med.mahidol.ac.th/atrama/issue013

Reference: 
@Rama ฉบับที่ 13