ผศ. นพ.ณัฐพงศ์ อิศรางกูร ณ อยุธยา
เมื่อภาควิชาสูติศาสตร์ – นรีเวชวิทยา คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี ได้เปิดทำการเมื่อปี พ.ศ. 2512 ได้มีการเปิดหลักสูตรฝึกอบรมแพทย์ประจำบ้าน สาขาสูติศาสตร์ –นรีเวชวิทยา ในเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2512 ในช่วงปีแรกนั้นมีแพทย์ประจำบ้านสมัครเข้ารับการอบรมจำนวน 3 คน โดยอยู่ภายใต้การดูแลของอาจารย์ปราโมทย์ รัตตกุล ในช่วงแรกหลักสูตรของแพทย์ประจำบ้านยังไม่มีร่างหลักสูตรที่แน่นอน มีเพียงบทร่างที่อาจารย์ในภาควิชาฯ ร่วมกันเขียนขึ้นมาประมาณ 2-3 หน้า ต่อมาในปีที่ 2 ไม่มีแพทย์ประจำบ้านสมัครเข้ารับการฝึกอบรม แต่ภายหลังจากนั้นเป็นต้นมาเริ่มมีแพทย์ประจำบ้านสมัครเข้ารับการฝึกอบรมในจำนวนมากบ้างน้อยบ้างแล้วแต่ละปีไป โดยหลังจากภายใต้การดูแลของอาจารย์ปราโมทย์ รัตตกุล แล้ว ศาสตราจารย์แพทย์หญิงเยาวลักษณ์ ภมรประวัติ ได้เข้ามาดูแลแพทย์ประจำบ้านต่อีก เป็นระยะเวลาหนึ่งต่อมารองศาสตราจารย์นายแพทย์สมาน ภิรมย์สวัสดิ์ ได้เข้ามาทำหน้าที่ดูแลแพทย์ประจำบ้านต่อ หลังจากนั้นหลักสูตรแพทย์ประจำบ้านจึงเริ่มมีการปรับปรุงเป็นรูปเป็นร่างขึ้นโดยมีการร่างหลักสูตรของภาควิชาฯ ขึ้นครั้งแรกในปี พ.ศ. 2520-2521 โดยศาสตราจารย์นายแพทย์สมพล พงศ์ไทย เป็นผู้ดำเนินการร่างหลักสูตรแพทย์ประจำบ้าน ซึ่งหลักสูตรนี้ได้ถูกนำไปใช้ต่อมาในหลักสูตรของราชวิทยาลัยสูตินรีแพทย์แห่งประเทศไทย ซึ่งถือว่าหลักสูตรที่มีรูปแบบและมาตรฐานเป็นฉบับแรก โดยร่างหลักสูตรนี้เรียกว่า หลักสูตรแพทย์ผู้มีความรู้ความชำนาญในการประกอบวิชาชีพเวชกรรม สาขาสูติศาสตร์-นรีเวชวิทยา เสนอให้ราชวิทยาลัยสูตินรีแพทย์แห่งประเทศไทยและแพทยสภา และได้รับการอนุมัติให้ผู้ที่ได้รับการอบรมตามหลักสูตรและสอบผ่านตามกฎเกณฑ์ที่ตั้งไว้ ได้รับวุฒิบัตรซึ่งเทียบเท่ากับปริญญาเอก ซึ่ง ก.พ. ยอมรับและพิจารณาอัตราเงินเดือนให้สูงขึ้นด้วยตามวัตถุประสงค์ของหลักสูตรนี้ ผู้ผ่านการอบรมแล้วจะมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับปัญหาสุขภาพอนามัยของมารดาและทารกในประเทศ สามารถจะศึกษาก้าวหน้าและลึกซึ้งต่อไปในสาขานี้ ตรวจวินิจฉัย ดูแลรักษาโรคและภาวะแทรกซ้อนต่างๆ ปฏิบัติการวิจัย ศึกษาวิทยาการต่างๆ ได้ด้วยตนเอง ถ่ายทอดความรู้และประสบการณ์ได้ ตลอดจนจรรยาและมารยาทแห่งวิชาชีพ การฝึกอบรมใช้เวลา 3 ปี โดยจัดฝึกอบรมให้มีความรู้ มีประสบการณ์ และความสามารถเพิ่มขึ้นตามลำดับปี จากแพทย์ประจำบ้านปีที่ 1 ถึงปีที่ 3 เนื้อหาวิชาประกอบด้วยวิชาสูติศาสตร์-นรีเวชวิทยาทั่วไป วิชาเฉพาะโรค เป็นต้นว่า เวชศาสตร์มารดาและทารก (Maternal and Fetal Medicine) ต่อมไร้ท่อในระบบสืบพันธุ์สตรี (Reproductive Endocrinology) ภาวะมีบุตรยาก (Infertility) และการวางแผนครอบครัว (Family Planning)
นอกจากนี้ยังจัดการฝึกอบรมในวิชาที่เกี่ยวข้องกับทางสูติ-นรีเวช ซึ่งต้องอาศัยความร่วมมือจากภาควิชาและสถาบันอื่นที่รับฝึกอบรมให้แพทย์ประจำบ้านสูติ-นรีเวช เป็นต้นว่า วิชาทารกแรกเกิด (Neonatology) จากภาควิชากุมารเวชศาสตร์ วิสัญญีวิทยา (Anaesthesiology) จากภาควิชาวิสัญญีวิทยา พยาธิวิทยาและเซลล์วิทยา (Pathology and Cytology) จากภาควิชาพยาธิวิทยา ระบบทางเดินปัสสาวะ (Urology) จากภาควิชาศัลยศาสตร์ รังสีรักษาจากภาควิชารังสีวิทยาและศัลยศาสตร์ช่องท้องจากกองศัลยกรรม โรงพยาบาลวชิระโดยมีนายแพทย์ธรรมนูญ วานิยะพงศ์ เป็นหัวหน้ากองฯ ส่วนการศึกษาเกี่ยวกับปัญหาสุขภาพอนามัยมารดาและทารก ได้จัดส่งไปหาประสบการณ์ที่ศูนย์อนามัยแม่และเด็ก หรือโรงพยาบาลในส่วนภูมิภาค (เป็นหลักสูตรแรกของการฝึกอบรมแพทย์ประจำบ้านในประเทศไทย ที่จัดให้แพทย์ประจำบ้านได้ไปศึกษาที่สถาบันส่วนภูมิภาคด้วย ซึ่งขณะนี้แพทยสภาได้รับรองการฝึกอบรมในลักษณะดังกล่าว และเรียกว่าโครงการสมทบ ภาควิชาฯ) อนุญาตให้แพทย์ประจำบ้านเลือกสถานที่ไปศึกษาในส่วนภูมิภาคด้วยตนเองอยู่ระยะหนึ่ง ต่อมาได้รับความร่วมมือจากโรงพยาบาลพุทธชินราช จังหวัดพิษณุโลก ให้เป็นสถานที่ศึกษาฝึกอบรมของแพทย์ประจำบ้านตั้งแต่ปีการศึกษา พ.ศ. 2520 ในปีการศึกษา พ.ศ. 2524 จึงเปลี่ยนไปฝึกอบรมที่โรงพยาบาลมหาราชนครราสีมา และสำนักงานสาธารณสุขจังหวัด จังหวัดนครราชสีมาแทนและมีการดูงานในโครงการนมแม่ที่โรงพยาบาลแม่และเด็กเชียงใหม่เป็นเวลา 1 เดือน ในปี พ.ศ. 2558 ได้เปลี่ยนสถานที่ไปศึกษาในส่วนภูมิภาคจากโรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมาเป็น โรงพยาบาลบุรีรัมย์เพียงที่เดียว การฝึกอบรมทางด้านสูติศาสตร์-นรีเวชวิทยา ทั่วไปใช้เวลาไม่ต่ำกว่า 28 เดือน ซึ่งต่อมาหลักสูตรการฝึกอบรมแพทย์ประจำบ้านนี้ได้มีการปรับปรุงโดยราชวิทยาลัยสูตินรีแพทย์แห่งประเทศไทย อีก 2-3 ครั้ง
ในภายหลังภาควิชาฯ ได้เพิ่มการรับสมัครแพทย์ประจำบ้านเพิ่มมากขึ้น เป็นปีละ 8-10 คนต่อปี ทำให้มีแพทย์ประจำบ้านเข้ามาปฏิบัติงานมากขึ้นเพียงพอต่อการเรียนการสอนทั้งนักศึกษาแพทย์และแพทย์ฝึกหัด ในช่วงแรกเราจะเรียกแพทย์ประจำบ้านชั้นปีที่ 1 และ 2 เป็นแพทย์ประจำบ้าน สำหรับแพทย์ประจำบ้านชั้นปีที่ 3 เรียกว่าแพทย์ประจำบ้านอาวุโส ซึ่งมีหน้าที่ในการดูแลผู้ป่วยตามหลักสูตรที่กำหนดไว้และสอนนักศึกษาแพทย์ และแพทย์ฝึกหัดตามที่ได้รับมอบหมาย ภายหลังได้มีหลักสูตรแพทย์ประจำบ้านที่เป็นรูปเป็นร่างขึ้น ทำให้แพทย์ประจำบ้านสามารถปฏิบัติงานได้ตามที่ได้รับมอบหมายอย่างเป็นรูปธรรมขึ้น และสามารถทำงานด้านอื่นๆ เช่นการทำวิจัย การเขียนรายงานผู้ป่วย หรือการทำกิจกรรมทางวิชาการด้านอื่นได้มากขึ้น เป็นต้น
ในระยะแรกของการฝึกอบรมแพทย์ประจำบ้าน แพทย์ประจำบ้านต้องเขียนรายงานผู้ป่วยเป็นภาษาอังกฤษ ประกอบด้วยผู้ป่วยทางสูติกรรม 10 ราย และผู้ป่วยทางนรีเวชกรรม 10 ราย ส่งเพื่อสอบวุฒิบัตรซึ่งเป็นงานหนักมากในช่วงแรก หลังจากนั้นได้มีการปรับเปลี่ยนให้สามารถเขียนเป็นภาษาไทยได้ และลดจำนวนการเขียนรายงานผู้ป่วยลงจากด้านละ 10 ราย เหลือ 5 ราย และ 3 รายตามลำดับ จนปัจจุบันนี้แพทย์ประจำบ้านไม่ต้องเขียนรายงานผู้ป่วยแล้วในการประกอบการสอบวุฒิบัตร แต่เปลี่ยนเป็นการตรวจบันทึกการดูแลรักษาผู้ป่วยของแพทย์ประจำบ้านจากเวชระเบียนของโรงพยาบาลที่แพทย์ประจำบ้านปฏิบัติงานอยู่ ขณะเดียวกันการสอบข้อเขียนในการสอบวุฒิบัตรนี้ยังคงมีการสอบทั้งข้อสอบอัตนัยและปรนัย โดยข้อสอบอัตนัยนั้นได้ปรับเปลี่ยนเป็นข้อสอบการเขียนตอบอัตนัย 2 ข้อ และเป็นข้อสอบ MEQ (Multiple Essay Questions) 4 ข้อ ส่วนข้อสอบปรนัยทั้งหมด 150 ข้อ
นอกจากนี้ในช่วงปี พ.ศ. 2533 ได้มีการสอบ OSCE ในการสอบวุฒิบัตรเป็นช่วงระยะเวลาประมาณ 5-6 ปี ต่อมาได้ยกเลิกการสอบ OSCE ลงเป็นการสอบซักประวัติ ตรวจร่างกายกับผู้ป่วยจริง (OSLER) ตามสถาบันที่ทางอนุกรรมการการฝึกอบรมฯ เป็นผู้กำหนดซึ่งแพทย์ประจำบ้านจะต้องไปสอบที่สนามสอบต่างสถาบันของแพทย์ประจำบ้านที่ปฏิบัติงานอยู่ จนมาถึงปัจจุบันนี้ได้มีการนำวิธีสอบ OSCE กลับมาอีกครั้งในปี พ.ศ. 2558 นอกจากนี้ยังมีการสอบปากเปล่าโดยใช้หนังสือบันทึกการดูแลผู้ป่วยขณะที่ปฏิบัติงานเป็นแพทย์ประจำบ้านอยู่ โดยการสอบปากเปล่านี้ได้มีการยกเลิกการสอบไปเมื่อปี พ.ศ. 2558 นอกจากการสอบแล้วแพทย์ประจำบ้านจะต้องทำการวิจัยในขณะฝึกอบรมเป็นแพทย์ประจำบ้าน 1 เรื่องพร้อมกับการนำเสนอผลงานในการประชุมวิชาการประจำปีของราชวิทยาลัยสูตินรีแพทย์แห่งประเทศไทย ในรูปแบบภาษาอังกฤษ ซึ่งการนำเสนอรายงานการวิจัยนี้ทำให้แพทย์ประจำบ้านจากภาควิชาฯของเราได้รางวัลการนำเสนอผลงานการวิจัยหลายคนด้วยกัน ในแต่ละปีที่มีการประกวดการนำเสนอทำให้แพทย์ประจำบ้านได้ประสบการณ์การนำเสนอผลงานการวิจัยและมีความภูมิใจ
จะเห็นว่าการที่จะให้จบการฝึกอบรมเป็นแพทย์ประจำบ้านเฉพาะทางสูติศาสตร์ – นรีเวชวิทยา จะต้องมีความพร้อมทั้งในด้านวิชาการ ด้านมนุษยสัมพันธ์ และด้านจริยธรรม ซึ่งเป็นความภาคภูมิใจของแพทย์ประจำบ้านที่ได้จบการฝึกอบรมและเห็นคุณค่าของการฝึกอบรมการเป็นแพทย์ประจำบ้าน นอกจากนี้ยังนำประสบการณ์การเรียนรู้ในขณะที่ทำการฝึกอบรมเป็นแพทย์ประจำบ้านไปเป็นพื้นฐานในการทำงานภายหลังจากจบการฝึกอบรมไปแล้ว หรือนำประสบการณ์นี้ไปทำการวิจัยต่อยอดต่อไป