|
สารพวกนี้ ออกฤทธิ์ โดยขัดขวางการทำงานของสมองส่วนกลาง ทำให้สับสน จนถึงเป็นอัมพาตชั่วคราว แต่ไม่ทำอันตรายถึงชีวิต นอกจากในขนาดที่สูงมากกว่าขนาดที่ใช้ได้ผลหลายๆ เท่า และไม่ทำให้เกิดการเจ็บป่วยต่อเนื่องเรื้อรัง หรือความพิการอย่างถาวร ตัวอย่างของสารที่ที่นำมาใช้เป็นสารพิษในกลุ่มนี้ได้แก่ ยากล่อมประสาท ยานอนหลับ ยาเสพติดที่มีฤทธิ์ต่อสมองเช่น สารสกัดจากกัญชา, LSD, PCP ฯลฯ ยาในกลุ่ม anticholinergic เช่น atropine, scopolamine และสารอื่นๆ เช่น endorphine เป็นต้น ลักษณะที่พบในเวชปฏิบัติ ถ้าได้รับสารขนาดน้อยจะมีอาการง่วงนอน, ความตื่นตัวน้อยลง, หัวใจเต้น เร็ว, ผิวแดง, ริมฝีปากและผิวหนังแห้ง, ม่านตาขยายกว้าง และอุณหภูมิกายจะสูงขึ้น เนื่องจากต่อมเหงื่อไม่ทำงาน การป้องกันและรักษา 2. พยายามแยกผู้ป่วยที่ก่อความวุ่นวายออกให้เร็วที่สุด ถ้าจำเป็นอาจต้องมัดผู้ป่วยไว้กับเปล ต้นไม้ หรือสิ่งอื่นๆ 3. ให้การรักษาตามอาการ ควรนำผู้ป่วยไปไว้ในที่ร่ม อากาศเย็น แล้วเช็ดตัว หรือแช่น้ำเย็น เพราะผู้ป่วยอาจเกิดพิษจากความร้อน จนถึง heat stroke ได้ 4. ให้ physostigmine salicylate 2-3 mg ฉีดเข้ากล้ามเนื้อหรือ เข้าหลอดเลือดดำช้าๆ ถ้าอาการไม่ดีขึ้นเช่น การเต้นของหัวใจไม่ช้าลง หรือสภาพทางจิตใจไม่แจ่มใสขึ้น ให้ฉีดยาซ้ำได้เมื่อ 40 นาที หลังการฉีดยาครั้งแรก และให้ต่อไป ทุก 1-2 ชั่วโมงจนผู้ป่วยอาการดีขึ้น จึงเปลี่ยนเป็นยารับประทานขนาด 2-5 mg ทุก 2 ชั่วโมง และลดขนาดยาลงหลัง 2-4 วัน ยา physostigmine นี้ ไม่ได้เป็นยาทำลายพิษ BZ เพียงแต่บรรเทาอาการที่เกิดขึ้นเท่านั้น ดังนั้นจึงไม่สามารถลดระยะเวลาการเจ็บป่วยให้สั้นลงได้ ยาตัวนี้มีครึ่งชีวิตในร่างกายเพียง 30-60 นาที จึงจำเป็นต้องให้ยานี้บ่อยครั้ง เนื่องจากยานี้เป็นยาในกลุ่ม anticholinesterase ซึ่งเป็นพิษได้เช่นกัน จึงต้องระมัดระวังการให้ยาต้านพิษมากเกินไปเช่น ถ้าหัวใจเต้นช้ากว่า 70 ครั้ง/นาที แต่ยังมีอาการทางสมอง ให้ลดยาลงครึ่งหนึ่ง หรือผู้ป่วยมีอาการปวดท้อง, เหงื่อออกมาก, อาเจียน, กล้ามเนื้อกระตุก ก็ให้เลื่อนระยะเวลาการให้ยาครั้งต่อไป และลดขนาดยาลง 1 ใน 3 จากขีดความสามารถของระบบส่งอาวุธในปัจจุบัน อาจทำให้มีผู้ป่วยจากสารพิษ BZ นี้เป็นจำนวนมาก ผู้ป่วยที่ได้รับพิษนี้จะยังสามารถเคลื่อนไหวได้ อาจก่อความวุ่นวายด้วยพฤติกรรมที่ผิดปกติ ไม่ยอมเชื่อฟังคำสั่ง และมีปัญหาในการควบคุม รวมทั้งมีปัญหาในการรักษาพยาบาลต้องการใช้ยาต้านพิษจำนวนมาก และต้องใช้เจ้าหน้าที่รักษาพยาบาลมากกว่าผู้ป่วยปกติ เพราะผู้ป่วยเกือบทั้งหมดมีสภาพทางจิตใจไม่ปกติ สามารถก่อความวุ่นวายได้ตลอดเวลา |