อาวุธพิษ ในกลุ่มนี้ เป็นสารพิษที่มีอันตรายถึงชีวิต สารหลายชนิดในกลุ่มนี้เดิมอาจมีจุดมุ่งหมายเพียงเพื่อปราบจลาจล หรือก่อความไร้สมรรถภาพเท่านั้น แต่ปรากฏว่าสามารถก่อให้เกิดความพิการจากพิษตกค้าง หรือทำอันตรายจนถึงแก่ชีวิตได้ สารพิษทั่วๆไป มักจะออกฤทธิ์ต่อหลายระบบของร่างกาย ดังนั้นจึงมีความคาบเกี่ยวกันอย่างมาก ในการจัดแบ่งกลุ่มชนิดของสารพิษ สามารถแบ่งกลุ่มชนิดของสารพิษ ตามระบบที่สารพิษออกฤทธิ์เด่นชัดกว่าระบบอื่นได้ดังนี้ 3.1 สารพิษต่อผิวหนัง หรือสารพิษพุพอง 3.2 สารพิษต่อโลหิต 3.3 สารพิษต่อประสาท 3.4 สารพิษต่อทางหายใจ และทางเดินอาหาร 3.5 สารพิษชีวภาพ
สารพิษต่อผิวหนัง หรือสารพิษพุพอง
-
สารที่จัดอยู่ในกลุ่มนี้ เป็นสารพิษที่ทำให้เกิดอาการทางผิวหนังเด่นชัดกว่าอาการทางระบบอื่นๆ การออกฤทธิ์ของสารกลุ่มนี้ แบ่งได้เป็น 2 แบบคือ มีฤทธิ์กัดกร่อนโดยตรงซึ่งจะเกิดอาการทันที และการออกฤทธิ์ขัดขวางการทำงานของเซลล์ในร่างกาย อาการทางผิวหนังจะปรากฏขึ้นภายหลังหลายสิบนาที หรือหลายชั่วโมง ตัวอย่างของสารในกลุ่มนี้ได้แก่
-
1) สารประกอบสารหนู เช่น lewisite มีการใช้สารนี้ในสงครามโลกครั้งที่ 1 ปัจจุบันไม่มีข้อมูลการใช้อีกเลย อาจเป็นเพราะผลการใช้ไม่แน่นอนและพิษของ lewisite นั้นก็รุนแรงเกินไปกว่าที่จะใช้เป็นสารปราบจลาจล หรือเป็นสารก่อความไร้สมรรถภาพได้ ผู้ป่วยที่ได้รับสารพิษในกลุ่มนี้สามารถให้การรักษาได้เช่นเดียวกับการรักษาผู้ป่วยที่ได้รับพิษจากสารหนูเฉียบพลันโดยทั่วไป
-
2) แก๊สตำแย ได้แก่สาร dichloroformoxime เป็นแก๊สมีกลิ่นเหม็นฉุน และระคายเคืองมากต่อผิวหนัง, ตา และเยื่อเมือกต่างๆ ทำให้เกิดอาการทันที ตั้งแต่แสบคันเหมือนถูกต้นตำแย หรือแมลงมีพิษต่อย จนถึงเจ็บปวดมาก อาการทางผิวหนัง ในตอนแรกผิวหนังจะซีดขาว แล้วเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลใน 24 ชั่วโมง และกลายเป็นแผลตกสะเก็ดใน 1 สัปดาห์ แต่อาการคันจะมีต่อไปนานถึง 2 เดือน เนื่องจากสารนี้เป็นสารไม่คงทน ไม่สามารถเก็บเป็นอาวุธคงคลังแสงได้ และประสิทธิผลไม่คุ้มค่ากับราคาของระบบส่งอาวุธ ในปัจจุบันจึงไม่อยู่ในรายการอาวุธเคมีของชาติต่างๆ
-
3) แก๊ส mustard สารพิษในกลุ่มนี้มีหลายตัว แต่ที่ใช้มาก และใช้อยู่ในสงครามอิรัก-อิหร่าน คือ sulfur mustard ซึ่งมีลักษณะเป็นของเหลวคล้ายน้ำมัน กลิ่นฉุนคล้ายกระเทียม ละลายได้ดีในไขมัน และอาจตกค้างอยู่ในพื้นที่เปื้อนพิษได้หลายปี เข้าสู่ร่างกายได้ทั้งทางระบบหายใจ และทางผิวหนัง
-
ในปัจจุบันได้มีการนำสารกลุ่มนี้มาใช้เป็นยารักษามะเร็ง สารกลุ่มนี้จะทำปฏิกิริยากับ DNA ในนิวเคลียสของเซลล์ทำให้การทำงานของเซลล์ต่างๆ เสียไป เซลล์ซึ่งเจริญเติบโตและแบ่งตัวเร็วเช่น เซลล์ในไขกระดูก เซลล์ของเยื่อเมือกและผิวหนัง และเซลล์ของอวัยวะสืบพันธุ์จะได้รับผลกระทบมากที่สุด ทำให้มีการอักเสบของอวัยวะระบบต่างๆ หลายระบบ
-
ลักษณะที่พบในเวชปฏิบัติ
-
หลังได้รับพิษประมาณ 20 นาที จะเริ่มมีการเปลี่ยนแปลงของหลอดเลือด บริเวณใต้ผิวหนัง อาการต่างๆ จะปรากฏชัดเจนหลัง 4-12 ชั่วโมง (ทำให้วินิจฉัยแยกโรคจากการได้รับพิษสารประกอบสารหนู ซึ่งเกิดอาการทันทีได้) ความรุนแรงของอาการ ขึ้นอยู่กับปริมาณสารพิษที่ได้รับ, การป้องกัน และการล้างพิษ อาการที่พบได้บ่อยที่สุดเป็นอาการของระบบหายใจมีการอักเสบของหลอดลม เนื่องจากเกิด pseudomembrane อุดตันหลอดลมเล็ก ๆ ทำให้ไอ มีเสมหะ เจ็บแสบในลำคอ และไอเป็นเลือด จนถึงระบบหายใจล้มเหลว มีอาการระคายเคืองเยื่อบุตาและกระจกตา ผิวหนังมีอาการอักเสบเป็นสีแดงและเป็นตุ่มพองแบบน้ำร้อนลวก มักเกิดบริเวณที่ชื้น เช่น ซอกรักแร้ ซอกขา ถุงอัณฑะและรอบก้น ผู้ป่วยจะเบื่ออาหาร คลื่นไส้ อาเจียน นอกจากนี้อาจมีอาการ ตกใจ ใจสั่น เจ็บหน้าอก หวาดกลัว และชักได้
-
การป้องกันและรักษา
-
1. ต้องสวมทั้งหน้ากาก และชุดป้องกันพิษ*
* ชุดป้องกันพิษ เป็นชุดที่คลุมทุกส่วนของร่างกาย มี activated charcoal อาบอยู่ด้านนอก เพื่อดูดซับพิษมิให้ซึมผ่านมาถึงตัวได้ รวมทั้งมีถุงมือ และรองเท้า ซึ่งทำด้วยยางพิเศษ
-
2. การล้างพิษออกจากตา ใช้น้ำเกลือ (NSS) หรือน้ำยา ringer lactate จำนวนมากๆ
-
3. การล้างพิษจากผิวหนังใช้เบาะยา** หรือใช้น้ำยา 4% sodium hypochloride สบู่ และน้ำยา Dakin's solution แต่ห้ามขัดถูผิวหนัง
** เบาะยา อังกฤษได้สร้างเบาะยาขึ้น มีลักษณะเป็นถุงมือสองด้าน ด้านหนึ่งบรรจุยาดูดซับพิษเช่น activated charcoal หรือ fuller's earth ประมาณ 100 g ซึ่งเพียงพอสำหรับโรยตามตัว และเสื้อผ้าของผู้ป่วย 1 คน เมื่อใช้ให้โรยผงยาดูดซับพิษ ตามบริเวณที่ถูกสารพิษทิ้งไว้ประมาณ 2 นาที แล้วปัดเช็ดออกด้วยด้านหลังถุงมือ ในกรณีที่ไม่มีเบาะยา แนะนำให้ใช้ผงแป้งสำหรับทำอาหารแทนผงยา แล้วเช็ดออกด้วยกระดาษชำระก็จะช่วยล้างพิษได้เช่นกัน
-
4. ให้ activated charcoal ซ้ำเป็นระยะๆ เพื่อดูดซับพิษจากทางเดินอาหาร, ไม่มียาต้านพิษโดยตรง แนะนำให้ vitamin C 1 g วันละ 3 ครั้ง และ N-acetylcysteiene 300 mg วันละ 4 ครั้ง นอกจากนี้ให้การรักษาตามอาการที่ เกิดขึ้นเช่น ให้ยาระงับปวด ยาบรรเทาอาการไอ ป้ายตาด้วยขี้ผึ้งที่มียาปฏิชีวนะเป็นต้น สำหรับตุ่มพองที่ผิวหนัง ให้เจาะน้ำออกด้วยเข็ม แล้วใช้ผ้าก๊อซชุบน้ำยา Dakin's solution ปิดแผลไว้ และเปลี่ยนทุก 2-3 ชั่วโมง หลังจากนั้น 4-5 วัน เปลี่ยนเป็นทา ด้วย 1% silver sulfadiazine วันละ 2 ครั้ง ปิดบริเวณแผลด้วยผ้าก๊อซผืนใหญ่ และพันผ้าไว้จะทำให้ผู้ป่วยเคลื่อนไหวได้ดีขึ้น
สารพิษต่อโลหิต
-
สารที่สำคัญในกลุ่มนี้ได้แก่ cyanide และ arsine cyanide เป็นสารพิษสังหารที่มีประสิทธิภาพมากที่ใช้ได้แก่ hydrogen cyanide และ cyanogen chloride เข้าสู่ร่างกายทางระบบหายใจ ในช่วงแรก cyanide จะกระตุ้นศูนย์ควบคุมการหายใจ หลังได้รับสารพิษเพียง 12-15 วินาที ผู้ป่วยจะไม่สามารถกลั้นหายใจได้ ผู้ที่ได้รับพิษจะหายใจเร็วและแรงขึ้น ทำให้สูดสารพิษเข้าไปเร็วขึ้น และอีก 15 วินาทีต่อมาผู้ป่วยจะชัก แล้วอีกเพียงไม่กี่นาทีต่อมาผู้ป่วยจะหยุดหายใจ, ความดันโลหิตตก, หัวใจหยุดเต้น และถึงแก่ความตาย
-
การป้องกันและรักษา
-
1) หน้ากากป้องกันไอพิษ ป้องกันได้ดี แต่ต้องทำอย่างรวดเร็ว ภายใน 12-15 วินาที และ activated charcoal ซึ่งเป็นตัวกรองดูดซับพิษของหน้ากาก จะเสื่อมคุณภาพทันทีเมื่อเปื้อน cyanide ต้องเปลี่ยนใหม่ทุกครั้ง
-
2) ยาต้านพิษ ใช้ amyl nitrite ซึ่งเป็นไอระเหยบรรจุหลอด ใช้ครั้งละ 2 หลอด ใส่หน้ากากผู้ป่วย หรือใส่ในเครื่องช่วยหายใจ ทุก 2-3 นาที จนครบ 8 หลอด, ให้ 3% sodium nitrite 10 ml และ 25% sodium thiosulfate 50 ml เข้าหลอดเลือดดำช้าๆ
-
ปัญหาสำคัญในการรักษาคือ มีเวลาในการให้การรักษาสั้นมากและถ้าผู้ป่วยหยุดหายใจ จะมีปัญหาในการให้ amyl nitrite รวมทั้ง sodium nitrite และ sodium thiosulfate ใช้ฉีดเข้ากล้ามไม่ได้ผล ต้องฉีดเข้าหลอดเลือดดำ ซึ่งต้องใช้บุคลากรสายแพทย์ จึงได้มีการค้นคว้ายาฉีดเข้ากล้ามมาใช้ เช่น 4-dimethyl amino phenol และ hydroxylamine hydrochloride สามารถใช้ได้ผลดีในสัตว์ทดลอง
-
cyanide อาจถูกนำมาใช้เพื่อทำลายประสิทธิภาพของหน้ากากป้องกันไอพิษ แล้วติดตามด้วยสารพิษต่อประสาท หรือ cyanide อีกครั้ง
สารพิษต่อประสาท
-
สารกลุ่มนี้นับว่าเป็นอาวุธพิษที่สำคัญที่สุด ในปัจจุบันมีหลายชนิดเช่น tabun, sarin, soman และ Vx เป็นต้น ทั้งหมดนี้เป็นสาร organophosphates เช่นเดียวกับที่ใช้เป็นยาฆ่าแมลงแต่มีพิษร้ายแรงกว่าหลายร้อยหลายพันเท่า เข้าสู่ร่างกายทางผิวหนัง และทางการหายใจ สารดังกล่าวในรูปหยดของเหลวเป็นอันตรายมากที่สุด สามารถซึมผ่านเสื้อผ้า และรองเท้าได้ เมื่อดูดซึมเข้าไปในร่างกายจะเปลี่ยนแปลง (aging) อย่างรวดเร็วในไม่กี่นาที ดังนั้นความรวดเร็วใน การล้างพิษจึงเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดเช่น sarin ถ้าสามารถล้างพิษออกได้ภายใน 2 นาที จะมีโอกาสรอดชีวิต 80%, ถ้าล้างพิษออกใน 5 นาทีโอกาสรอดชีวิต 5%, แตถ้าล้างพิษ ออกหลัง 10 นาทีจะไม่มีโอกาสรอดชีวิต
-
ลักษณะที่พบในเวชปฏิบัติ
-
จะเหมือนกับผู้ป่วยที่ได้รับพิษจากสาร organophosphates ที่ใช้เป็นสารเคมีกำจัดแมลงทั่วๆไป แต่รวดเร็ว และรุนแรงกว่ามาก ผู้ป่วยจะตายอย่างรวดเร็ว สาเหตุการตายที่สำคัญคือ ระบบหายใจล้มเหลวเฉียบพลัน ซึ่งเกิดจากกล้ามเนื้อหายใจเป็นอัมพาต และการกดศูนย์ควบคุมการหายใจ
-
การป้องกันและรักษา
-
1) การสวมหน้ากาก และชุดป้องกันสารพิษ สามารถป้องกันได้ดีพอสมควร ถ้าหลบหลีกได้ทันอาจรอดชีวิต
-
2) การกู้ชีพ เนื่องจากผู้ป่วยจะตายอย่างรวดเร็วจากระบบหายใจล้มเหลว และยาแก้พิษอาจใช้ได้ไม่ทันการ หรือไม่ได้ผล ทหารสหรัฐที่เข้าไปรบในอ่าวเปอร์เซียทุกคน ได้รับการซักซ้อมวิธีการตรวจอาการที่เกิดขึ้นจากสารพิษต่อประสาท และวิธีแก้ไข รวมทั้งได้รับการฝึกการกู้ชีพ และการช่วยหายใจ มีเครื่องมือต่าง ๆ ตลอดจนยาต้านพิษไว้พร้อมที่จะทำให้ผู้ป่วยรอดชีวิตจนไปถึงแพทย์ได้
-
3) การล้างพิษ เนื่องจากสารพิษต่อประสาท สามารถดูดซึมได้รวดเร็วมาก การล้างพิษด้วยน้ำหรือน้ำยาล้างพิษ อาจเป็นการเพิ่มการกระจายสารพิษที่ถูกบริเวณผิวหนังให้กว้างขึ้น รวมทั้งอาจสร้างความระคายเคืองต่อผิวหนัง และลดความต้านทานโดยธรรมชาติของผิวหนังลง การล้างพิษจากผิวหนังด้วยเบาะยาจะรวดเร็วและได้ผลดีกว่า
-
4) ยาต้านพิษ ทหารสหรัฐแต่ละคนมี atropine 2 mg และ pralidoxime 600 mg บรรจุหลอดฉีดยาอัตโนมัติติดตัวคนละ 3 ชุด พร้อมทั้งมีคำแนะนำให้ใช้ภายใน 2 นาที หลังจากได้รับสารเคมีดังกล่าว
-
pralidoxime เป็นยา oxime รุ่นแรก ใช้ควบคู่กับ atropine แต่เนื่องจากไม่ได้ผลกับสารพิษต่อประสาททุกชนิด โดยเฉพาะ soman ไม่ได้ผลเลย จึงได้มีการพัฒนายา oxime รุ่นที่สองเช่น HI-6 ออกมา มีการศึกษาในคน ไม่พบผลข้างเคียงที่สำคัญ แต่ไม่คงทนในสารละลาย จึงยังไม่สามารถผลิตในรูปแบบหลอดฉีดยาอัตโนมัติ แต่มีประโยชน์สำหรับแพทย์ใช้ที่หน่วยรักษาพยาบาลได้
-
5) ยาป้องกัน แนะนำให้รับประทาน pyridostigmine 30 mg วันละ 3 ครั้ง ติดต่อกันอย่างน้อย 3 สัปดาห์ จะป้องกัน cholinesterase ไว้ไม่ให้ถูกจับโดยสารพิษได้ประมาณ 30-40% (ยาจะไปจับกับ cholinesterase ด้วยวิธี carbamy lation ซึ่งไม่ถาวรไว้ก่อน ทำให้สารพิษไปเกาะจับไม่ได้)
-
จากแนวทางการป้องกันและรักษา ผู้ป่วยที่ได้รับสารพิษต่อประสาทดังกล่าว อาจนำมาประยุกต์กับการรักษารวมทั้งการปฐมพยาบาล ผู้ป่วยที่ได้รับพิษจากสารเคมีกำจัดแมลงประเภทสารประกอบ organophosphates จำนวนมาก ซึ่งพบได้บ่อยในบ้านเราโดยเฉพาะในชนบทได้ตามสมควร
สารพิษต่อทางหายใจ และทางเดินอาหาร
-
สารพิษที่สำคัญในกลุ่มนี้ ได้แก่
-
phosgine (carbonyl chloride) เป็นสารที่ผลิตได้ง่ายและเป็นสารประกอบมูลฐานในการผลิตสารเคมีหลายอย่าง แม้มีขอบเขตจำกัดและผลสำเร็จจำกัดจากการใช้ในสงครามโลกครั้งที่ 1 ก็ตาม แต่พบว่ายังมีข้อมูลการใช้ในอาฟริกานิสถานและเคยมีอุบัติเหตุทางอุตสาหกรรมจากพิษของ phosgine ทำอันตรายต่อมนุษย์จำนวนมาก
-
Phosgine ทำให้เกิดพิษได้ แม้ในความเข้มข้นต่ำ กลไกการเกิดพิษเกิดจากการปล่อย carbamyl group ไปทำลายโปรตีนทำให้ผนังหลอดเลือดฝอยในปอดเสื่อม เลือดและน้ำเหลืองไหลซึมออกนอกหลอดเลือดเข้าไปในถุงลม และขัดขวางการซึมผ่านของออกซิเจน จากถุงลมไปยังเลือด เกิดกลุ่มอาการหายใจล้มเหลวในผู้ใหญ่ (ARDS) และในระดับความเข้มข้นของ phosgine สูงมากอาจทำให้ตายได้อย่างรวดเร็ว
-
ลักษณะที่พบในเวชปฏิบัติ
-
ผู้ป่วยจะเหนื่อยหอบ มีเสมหะเป็นน้ำใส ตรวจพบอาการของการขาดออกซิเจน หลอดลมหดเกร็ง ปอดบวมน้ำ และระดับแก๊สในเลือดแดงผิดปกติ ต่อมาหัวใจด้านขวาจะล้มเหลว ความดันโลหิตตกจากการสูญเสียเลือดเข้าไปในปอด และขาดออกซิเจน จนถึงแก่กรรมในที่สุด
-
การป้องกันและรักษา
-
1) หน้ากากป้องกันไอพิษ ป้องกันได้ดี
-
2) ไม่มียาแก้พิษโดยตรง ให้การรักษาประคับประคองตามอาการ เช่นเดียวกับ ARDS จากสาเหตุอื่น ผู้ที่ได้รับพิษ หรือสงสัยว่าได้รับพิษสาร phosgine ควรจะรับไว้ในโรงพยาบาล เพื่อสังเกตอาการอย่างน้อย 24-48 ชั่วโมง
-
นอกจาก phosgine ยังมีสารพิษที่เคยมีการใช้กันมากที่สุดในกลุ่มนี้ ได้แก่ adamsite ซึ่งสร้างความระคายเคืองให้แก่ทางระบบหายใจ และทางเดินอาหาร รวมทั้งเยื่อเมือกต่างๆ ทำให้จามติดต่อหยุดไม่ได้ ไอ คลื่นไส้ อาเจียน และรู้สึกปวดเมื่อย อ่อนเพลีย ในปัจจุบันไม่ได้มีการนำมาใช้อีกเพราะออกฤทธิ์สู้สารในกลุ่มที่ใช้ปราบจลาจลปัจจุบันไม่ได้ และผู้ป่วยที่ได้รับสารนี้อาจป่วยเรื้อรังจนถึงขั้นเสียชีวิตจากพิษสารหนูได้
-
อีกตัวหนึ่งคือ chloropicrin เป็นสารซึ่งใช้ในทางเกษตรกรรม ใช้พ่นเป็นละอองควันเพื่อทำลายเชื้อที่เกาะกินเมล็ดธัญญพืช และฆ่าแมลง เป็นสารที่ผลิตและหาได้ง่าย ซึ่งเอกสารอ้างอิงหลายเล่มได้บรรจุไว้ในทำเนียบสารพิษสงคราม แต่ยังไม่มีข้อมูลว่ามีการใช้ที่ใด ในมนุษย์มีความระคายเคืองต่อทางเดินอาหาร, ผิวหนัง, ตา และทางระบบหายใจ ถ้าได้รับปริมาณมากทำให้คลื่นไส้ อาเจียน ปวดท้อง และท้องเดิน
สารชีวพิษ
-
สารพิษกลุ่มนี้ยังอยู่ในขั้นค้นคว้าวิจัยและพัฒนา ถ้าสามารถนำมาใช้ในสงครามได้จะเป็นอาวุธพิษที่มีอานุภาพร้ายแรงมาก เพราะสารพิษกลุ่มนี้มีฤทธิ์รุนแรงมากขนาดที่ทำให้ตายใช้ปริมาณต่ำมาก ส่วนใหญ่ไม่มียาแก้พิษ การวิเคราะห์พิสูจน์ทำได้ยาก ตัวอย่างของสารพิษในกลุ่มนี้ได้แก่ ฝนเหลือง, ricin, saxitoxin และ botulinum toxin เป็นต้น
-
ฝนเหลือง (trichothecine) เป็นสารพิษที่ได้จากเชื้อราหลายอย่าง มีมากกว่า 60 ชนิด สารพิษนี้สามารถถูกทำลายได้ด้วยด่างและสารฟอกสี แต่ไม่ถูกทำลายด้วยความร้อน เข้าสู่ร่างกายได้ทั้งทางการรับประทาน ทางการหายใจ และการดูดซึมทางผิวหนัง มีฤทธิ์ขัดขวางการสังเคราะห์โปรตีน เป็นพิษโดยตรงต่อเซลล์ โดยเฉพาะเซลล์ที่กำลังเจริญเติบโตและแบ่งตัวเร็วเช่น เซลล์ในไขกระดูก, อวัยวะสืบพันธุ์ และเยื่อเมือกต่างๆ ทำให้ผิวหนังอักเสบและเนื้อตายตลอดชั้นของผิวหนัง สามารถทำอันตรายต่อตาอย่างถาวร นอกจากนี้อาจมีอาการคลื่นไส้ อาเจียน ท้องเดิน เบื่ออาหาร ตับ อักเสบอย่างรุนแรง กล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ เม็ดเลือดขาวต่ำ เลือดออกผิดปกติในอวัยวะต่างๆ ผู้ป่วยอาจตายได้อย่างรวดเร็วภายในไม่กี่ชั่วโมงจากเลือดออก และอวัยวะระบบต่างๆ ทั่วร่างกายล้มเหลว ไม่มีการรักษาเฉพาะ มีผู้แนะนำให้ทำ hemoperfusion เพื่อเร่งขจัดสารพิษออกจากร่างกาย แต่ยังไม่มีการประเมินประสิทธิผลของการรักษา
-
Ricin เป็นสารพิษที่มีในเมล็ดละหุ่ง มีพิษร้ายแรงมาก ประกอบด้วยโปรตีน 4 ชนิด มีฤทธิ์กระตุ้นปฏิกิริยาภูมิต้านทานของร่างกาย ทำให้เม็ดเลือดแดงเกาะกันเป็นกลุ่ม
-
Saxitoxin เป็นสารพิษซึ่งสร้างโดยสัตว์เซลล์เดียวกลุ่ม monoflagellates ซึ่งเจริญเติบโตในน้ำทะเล ทำให้เกิดอาการอัมพาต ซึ่งสามารถพบได้ในคนที่รับประทาน หอยแครงหรือหอยแมลงภู่
-
Botulinum toxin สร้างโดยแบคทีเรีย Clostridium botulinum ปัจจุบันนับเป็นสารพิษที่มีพิษร้ายแรงที่สุด
-
สิ่งที่กำลังค้นคว้ากันอย่างมากในปัจจุบัน ได้แก่ สารพิษจากสาหร่ายสีเขียวแกมน้ำเงินและปลาเขตร้อนบางชนิด เช่น ปลาปักเป้าของไทย ซึ่งมีพิษทำให้เป็นอัมพาต เช่นกัน
|