ภาวะข้อเท้าตก เป็นหนึ่งอาการป่วยที่หลายคนอาจยังไม่คุ้นเคยนัก หรือบางคนอาจเคยได้ยินผ่านหูมาบ้าง แต่ยังไม่เข้าใจถึงอาการที่ชัดเจนนัก โดยครั้งนี้เป็นการนำเสนอข้อมูลความรู้เกี่ยวกับภาวะข้อเท้าตกในเรื่องต่าง ๆ อาทิ ความหมายของภาวะข้อเท้าตก สาเหตุ วิธีการรักษา และวิธีการป้องกันที่ได้ผล สู่การนำไปปรับประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันได้อย่างเหมาะสม หากอยู่ในความเสี่ยงหรือเมื่อมีอาการดังกล่าว
รู้จักกับภาวะข้อเท้าตก
เป็นภาวะที่ร่างกายผิดปกติชนิดหนึ่ง อาจเกิดจากโรคบางอย่าง ส่งผลให้เส้นประสาทที่มาเลี้ยงบริเวณเท้าผิดปกติไปจากเดิม ทำให้กระดกเท้าไม่ขึ้น เช่น ในผู้ป่วยบางรายที่ไม่สามารถยกข้อเท้าได้ ความจริงแล้วความผิดปกติอาจไม่ได้เกิดที่ข้อเท้า แต่เกิดที่เส้นประสาท ส่งผลให้มีภาวะข้อเท้าตก
อาการของภาวะข้อเท้าตก
ผู้ป่วยจะไม่สามารถกระดกเท้าได้ หรือกระดกเท้าไม่ขึ้น ทำให้ยกเท้าไม่พ้นพื้นจึงสะดุดเท้าตัวเองล้มลงหรือสะดุดวัตถุอื่นแล้วล้มลงได้ง่าย ผู้ป่วยจึงพยายามที่จะยกข้อเท้าให้สูงขึ้นกว่าเดิม ทำให้ท่าเดินผิดปกติและทรงตัวได้ยากขึ้นหรือทำให้ล้มได้ง่าย นอกจากนี้อาจมีอาการชาบริเวณขาด้านข้าง รวมไปถึงบริเวณเท้าด้านบน
สาเหตุของภาวะข้อเท้าตก
- เกิดจากเส้นประสาทที่ชื่อว่าพีโรเนียลซึ่งอยู่บริเวณหัวเข่าด้านนอกถูกกดทับ ทำให้เส้นประสาทได้รับความเสียหาย
- เส้นประสาทที่หลังถูกกระดูกกดทับ
- อาการจากสมองหรือไขสันหลัง
- ผู้ป่วยอัมพฤกษ์-อัมพาต
- อุบัติเหตุบริเวณหัวเข่า เช่น กระดูกหัก ข้อเข่าเคลื่อน อาจทำให้เส้นประสาทได้รับบาดเจ็บได้
- โรคประจำตัวอื่น ๆ เช่น กระดูกสันหลังกดทับเส้นประสาท หรือโรคที่ทำให้ภาวะปลายประสาทมีปัญหา เช่น โรคเบาหวาน โรคทางพันธุกรรมบางอย่าง ข้อหลังแข็ง เป็นต้น
การดูแลรักษาภาวะข้อเท้าตก
หากมีอาการกระดกข้อเท้าไม่ขึ้น ควรรีบพบแพทย์โดยเร็ว ไม่ควรปล่อยทิ้งไว้ เพื่อป้องกันระดับอาการที่รุนแรงตามมา วิธีการรักษาคือกายภาพบำบัด เพื่อป้องกันไม่ให้เป็นมากขึ้น และช่วยให้มีโอกาสกลับมากระดกข้อเท้าได้ดีขึ้น วิธีกายภาพบำบัด ได้แก่
- ยืดเหยียดเอ็นร้อยหวาย
- ยืดเหยียดกล้ามเนื้อน่อง
- ออกกำลังกายเกร็งกล้ามเนื้อด้านหน้าขา
ผลของการรักษาขึ้นอยู่กับระดับอาการ หากไม่รุนแรงมากสามารถฟื้นตัวกลับมาได้ แต่ถ้าหากไม่สามารถฟื้นตัวกลับมาได้ จะช่วยให้กล้ามเนื้อมีแรงมากขึ้น และมีโอกาสกลับมากระดกข้อเท้าได้ดีขึ้น
วิธีป้องกันภาวะข้อเท้าตก
- หลีกเลี่ยงการนั่งท่าเดิมเป็นเวลานานป้องกันการกดทับ หากนั่งคุกเข่าหรือนั่งท่าขัดสมาธิ ไม่ควรนานเกิน 2 ชั่วโมง หากรู้สึกชาควรเปลี่ยนอิริยาบถ
- หลีกเลี่ยงการนอนตะแคงทับข้างเดิมเป็นเวลานาน
- กรณีผู้ป่วยติดเตียง ควรจัดท่านอนให้เหมาะสม ไม่ให้นอนขาแบะ
ข้อมูลโดย
อ. พญ.ทรงสุดา รุ่งใสวัฒนา
ภาควิชาเวชศาสตร์ฟื้นฟู
คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี
มหาวิทยาลัยมหิดล