กินหวานดับร้อน เพิ่มความชรา

กินหวานดับร้อน เพิ่มความชรา

กินหวานดับร้อน เพิ่มความชรา

หากจะกล่าวถึงสภาพอากาศของประเทศไทยในช่วงเดือนมีนาคมถึงเดือนเมษายนของทุกปี เราทุกคนคงเคยชินและคุ้นเคยกับสภาวะอากาศที่ร้อนอบอ้าวและมีแดดแรง ไม่ใช่เรื่องแปลกที่ผู้คนจํานวนมากมักเสาะแสวงหาเทคนิคคลายร้อนให้ตนเองด้วยวิธีต่างๆ นานา แต่สิ่งหนึ่งที่คนส่วนใหญ่มักขาดไม่ได้และปฏิบัติจนเกิดความเคยชินในช่วงที่มีอากาศร้อนอบอ้าวหรือแม้กระทั่งในชีวิตประจําวันก็คือ การเลือกรับประทานอาหารที่มีรสชาติหวานและมีความเย็น ทั้งนี้เพื่อช่วยดับกระหายคลายร้อน ซึ่งอาจจะมีรูปแบบที่แตกต่างกันออกไป ยกตัวอย่างเช่น ไอศกรีม ผลไม้ลอยแก้ว น้ำแข็งไส น้ำหวาน และน้ำอัดลม เป็นต้น จนเกิดเป็นความเคยชินว่าอาหารและเครื่องดื่มที่มีรสหวานจะทําให้รู้สึกสดชื่น กระปรี้กระเปร่า หากไม่ได้รับประทานของหวานก็จะรู้สึกไม่มีแรง อ่อนเพลีย หงุดหงิด เราเรียกลักษณะอาการนี้ว่า “ภาวะติดนํ้าตาล” และเมื่อร่างกายได้รับน้ำตาลในปริมาณมากเกินความต้องการ น้ำตาลเหล่านั้นก็จะแปรรูปเป็นไขมันสะสมไปทั่วร่างกาย  ผลที่ตามมาก็คือการเกิดโรคอ้วน โรคเบาหวาน อีกทั้งยังเพิ่มอัตราความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจขาดเลือดอีกด้วย

กินหวานดับร้อน เพิ่มความชรา

“มาทําความรู้จักกับ Glycation และ AGEs”

การรับประทานของหวานในปริมาณมากเป็นประจํานั้นส่งผลให้ร่างกายมีระดับน้ำตาลในเลือดสูง ก่อให้เกิดปฏิกิริยาไกลเคชั่น (Glycation) อันเป็นสาเหตุของความชราก่อนวัยอันควร เนื่องจากโมเลกุลของน้ำตาลที่เรารับประทานเข้าไปจะไปเกาะติดกับโปรตีน ซึ่งเป็นส่วนประกอบหลักของอวัยวะรวมถึงเซลล์ต่างๆ ภายในร่างกาย ก่อให้เกิดสารตัวหนึ่งที่เรียกว่า AGEs (Advanced Glycation End-Products) เมื่อสารตัวนี้ผ่านเข้าสู่เซลล์ต่างๆ ของร่างกายก็จะส่งผลให้เซลล์บริเวณนั้นตายหรือเสื่อมสมรรถภาพในการทํางานลง จากการวิจัยพบว่า AGEs เป็นตัวทําลายคอลลาเจนรวมไปถึงใยโปรตีนในผิวหนัง ส่งผลให้เกิดริ้วรอยและมีจุดด่างดําตามมา นอกจากนี้ยังมีผลกระทบต่อเซลล์สมองก่อให้เกิดโรคอัลไซเมอร์ อีกทั้งยังเป็นสาเหตุของโรคความดันโลหิตสูง เนื่องจากโมเลกุลของน้ำตาลที่ไปเกาะโปรตีนในหลอดเลือดนั้นส่งผลให้ความยืดหยุ่นของหลอดเลือดลดลง

7 วิธีลดหวานต้านความชรา

  • เลือกดื่มน้ำเปล่าแทนน้ำหวาน : น้ำทําหน้าที่ในการกําจัดของเสียออกจากร่างกาย และอีกทั้งยังให้ความชุ่มชื้นแก่เซลล์ โดยปกติเราควรดื่มน้ำวันละ 8 แก้วขึ้นไป การดื่มน้ำน้อยนอกจากจะทําให้ผิวไม่สดใสแล้วยังส่งผลให้อวัยวะต่างๆ ทํางานหนักอีกด้วย
  • รับประทานผลไม้สดแทนขนมหวาน : ผลไม้นั้นมีวิตามิน เกลือแร่ และใยอาหารที่ช่วยในการขับถ่าย  ผลไม้มีรสหวานจากฟรักโทส (fructose)  และกลูโคส สามารถช่วยทําให้ร่างกายสดชื่นโดยที่ไม่ต้องรับน้ำตาลในปริมาณที่มากเกินไป
  • เลือกชนิดของขนมหวานที่จะรับประทาน : ในกรณีที่หลีกเลี่ยงการรับประทานขนมหวานไม่ได้ แนะนําให้เลือกชนิดของอาหารที่จะนํามาประกอบเป็นของหวาน ยกตัวอย่างเช่น น้ำแข็งไสหรือหวานเย็น ควรรับประทานควบคู่กับธัญพืชที่มีใยอาหารสูง ประเภท ลูกเดือย ถั่วแดง ถั่วเขียว ข้าวโพด เป็นต้น ใยอาหารมีส่วนช่วยในการชะลอการดูดซึมน้ำตาลเข้าสู่ร่างกาย ทําให้อิ่มท้องได้นาน ลดความอยากของหวาน และลดความอ้วนได้ดี
ช่วงอายุ ความต้องการพลังงาน (กิโลแคลอรี/วัน) ปริมาณน้ำตาลไม่ควรเกิน (ช้อนชา/วัน)
เด็กอายุ 6-13 ปี หญิงวัยทํางานอายุ 25-60 ปี ผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไป 1,600 4
วัยรุ่นหญิงอายุ 14-25 ปี ชายวัยทํางานอายุ 25-60 ปี 2,000 6
หญิงชายที่ใช้พลังงานมากๆ เช่น เกษตรกร ผู้ใช้แรงงาน นักกีฬา 2,400 8

* น้ำตาล 1 ช้อนชา =  4 กรัม

  • หลีกเลี่ยงหรือลดปริมาณการเติมนํ้าตาลลงในอาหารและเครื่องดื่ม : ในที่นี้หมายถึงน้ำตาลทุกชนิด ไม่ว่าจะเป็น น้ำตาลทราย น้ำตาลทรายแดง น้ำผึ้ง ไซรัป และไฮฟรักโทสคอร์นไซรัป (high fructose corn syrup) หรือน้ำตาลที่สกัดจากข้าวโพดเป็นต้น
  • บ้วนปากทุกครั้งหลังรับประทานของหวาน : เนื่องจากความรู้สึกที่สัมผัสได้ถึงความหวานจากต่อมรับรสชาดภายในช่องปากจะส่งผลให้เกิดความอยากอาหาร และยังเป็นสาเหตุหลักที่ทําาให้ฟันผุ เพราะแบคทีเรียที่ยังคงหลงเหลืออยู่หลังจากรับประทานอาหารจะทําลายผิวเคลือบฟัน
  • อ่านฉลากโภชนาการข้างบรรจุภัณฑ์ : หากผลิตภัณฑ์ดังกล่าวมีปริมาณน้ำตาลมากกว่า 15 กรัม (3 ช้อนชา) ก็ควรจะหลีกเลี่ยง
  • ให้เวลาร่างกายในการปรับตัว : ร่างกายของเราจะใช้เวลาประมาณ 10 วัน ในการปรับสภาพลิ้นที่ติดรสชาติอาหารหวาน ดังนั้นเมื่อเวลาผ่านไปก็จะทําให้ความต้องการน้ำตาลลดลง

ถึงแม้ว่าการรับประทานน้ำตาลมากเกินจะเป็นปัจจัยของโรคเรื้อรังต่างๆ และยังเป็นสาเหตุของความชราก่อนวัยอันควร อย่างไรก็ตามน้ำตาลก็ยังเป็นสิ่งที่มีประโยชน์และจําเป็นต่อร่างกาย โดยมีทําหน้าที่หลักในการให้พลังงาน อีกทั้งยังเป็นอาหารสมองสําหรับผู้ป่วยโรคเบาหวาน เมื่อเกิดภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ การดื่มน้ำหวานหรืออมลูกอมก็สามารถทําให้อาการดีขึ้นได้ ในผู้ที่สูญเสียเหงื่อหรือมีอาการท้องเสีย การรับประทานของหวานก็จะทําให้รู้สึกสดชื่นขึ้น ไม่อ่อนแรง

“เพราะฉะนั้นหากเราเลือกรับประทานนํ้าตาลในปริมาณที่เหมาะสมให้ถูกต้องตามปัจจัยแวดล้อมของแต่ละบุคคล อันประกอบไปด้วย อายุ เพศ นํ้าหนัก ส่วนสูง และกิจกรรมระหว่างวัน ก็จะทําให้ร่างกายไม่ขาดสมดุลและไม่ก่อให้เกิดความชราก่อนวัยอันควร”

ผู้เขียน : ดร.ฉัตรภา หัตถโกศล (DrPH, RD) อาจารย์ประจําภาควิชาโภชนวิทยา
คณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล

ติดตามข้อมูลสุขภาพเพิ่มเติมได้ที่นี่

นิตยสารวาไรตี้เพื่อสุขภาพ @Rama ฉบับที่ 1 คลิก

AtRama.mahidol.ac.th