มนุษย์เรารู้จักนำสารเคมีมาใช้เป็นอาวุธสงครามมาตั้งแต่สมัย โบราณ ประเทศอังกฤษเป็นประเทศแรก ที่มีการนำควันของกำมะถันมาใช้ในสงครามไครเมีย แต่ที่มีหลักฐานชัดเจนและทำให้เกิดการสูญเสียชีวิตเป็นจำนวนมาก เกิดขึ้นประมาณเดือนเมษายน พ.ศ. 2458 ในสงครามโลกครั้งที่ 1 เมื่อทหารเยอรมันปล่อยก๊าซคลอรีนเข้าสู่แนวรบของฝ่ายพันธมิตร เนื่องจากในสมัยนั้นมนุษย์เรายังไม่ทราบวิธีการป้องกันรักษาจึงมีผู้เสียชีวิตเป็นจำนวนมาก จากเหตุการณ์ครั้งนั้น ทำให้ในเวลาต่อมาหลายประเทศได้ร่วมมือกันสร้างสนธิสัญญา เพื่อกำจัดและขัดขวาง การสร้าง การสะสม และการใช้สารเคมีเป็นอาวุธในการทำสงคราม ตัวอย่างเช่น สนธิสัญญาเจนีวาในปีพ.ศ. 2468 แต่ก็ยังมีบางประเทศที่ฝ่าฝืนข้อตกลงดังกล่าวอยู่ เช่น การที่สหภาพโซเวียตบุกยึดอัฟกานิสถาน หรือในสงครามอิรัก-อิหร่าน ก็ยังมีการพิสูจน์ได้อย่างชัดเจนทางวิทยาศาสตร์ว่ามีการนำเอาสารเคมีและสารชีวภาพมาใช้ในสงครามดังกล่าว นอกจากการนำสารเคมีที่มีอยู่เดิมมาใช้แล้ว ปัจจุบันยังมีการวิจัย พัฒนาอาวุธเคมีและชีวภาพใหม่ๆ ขึ้นมาอีกหลายชนิดเพียงเพื่อใช้ในการทำลายฝ่ายตรงข้ามที่ยังไม่มีระบบป้องกันที่เท่าทัน ให้เกิดความเสียหายอย่างรุนแรงนั่นเอง ในที่นี้จะขอกล่าวถึงรายละเอียดของอาวุธพิษจากสารเคมี ซึ่งจะแบ่งกลุ่มตามระบบต่างๆ ในร่างกายที่อาวุธพิษ ออกฤทธิ์เด่นชัดมากที่สุด ดังนี้คือ
-
สารพิษต่อระบบเลือด (Blood agents)
-
สารพิษต่อระบบผิวหนัง หรือสารพิษพุพอง (Blister or Vesicant agents)
-
สารพิษต่อระบบทางเดินหายใจและระบบทางเดินอาหาร (Choking or Lacrimator agents)
-
สารพิษต่อระบบประสาท (Nerve gases)
BLOOD AGENTS
-
อาวุธพิษที่สำคัญในกลุ่มนี้ คือกลุ่ม gas ที่ให้สาร cyanide ซึ่งเป็นสารพิษที่ใช้เป็นอาวุธสังหารที่มีประสิทธิภาพมาก ตัวอย่างของสารในกลุ่มนี้ที่เคยมีรายงาน ได้แก่ hydrogen cyanide, cyanogen, cyanogen bromide, cyanogen chloride และ cyanogen iodide ดังตัวอย่างใน ตารางที่ 1
อาการทางคลินิก
-
สารกลุ่มนี้สามารถเข้าสู่ร่างกายทางระบบทางเดินหายใจ ซึ่งทำให้เกิดอาการระคายเคือง แสบร้อนในปากและในคอ หายใจลำบาก ปวด-เวียนศีรษะ คลื่นไส้ อาเจียน ในช่วงแรก cyanide จะกระตุ้นศูนย์ควบคุมการหายใจ หลังได้รับสารในเวลาเป็นวินาทีผู้ป่วยจะไม่สามารถกลั้นหายใจได้ ผู้ที่ได้รับพิษจะหายใจเร็วและแรงขึ้น ทำให้สูดพิษเข้าไปได้มากขึ้น และต่อมาไม่กี่วินาทีผู้ป่วยจะชัก ตามมาด้วยการหยุดหายใจ ความดันโลหิตตก หัวใจหยุดเต้น และเสียชีวิตได้
การรักษา
Antidote
-
-
1. Amyl nitrite (inhalation)
-
2. Sodium nitrite (intravenous)
-
3. Sodium thiosulfate (intravenous) Symptomatic/Supportive care:
ปัญหาสำคัญในการรักษาภาวะเป็นพิษจากอาวุธพิษกลุ่มนี้ ได้แก่ การที่ผู้ให้การรักษามีเวลาน้อยมากในการให้ยาต้านพิษ โดยเฉพาะในกรณีที่ผู้ป่วยหยุดหายใจแล้ว การให้ยาต้านพิษโดยการฉีดเข้ากล้าม ไม่ได้ผล ต้องฉีดเข้าทางหลอดเลือดดำเท่านั้น
BLISTER AGENTS
-
สารทุกตัวในกลุ่มนี้เป็นสารพิษที่ทำให้เกิดอาการทางผิวหนัง เด่นชัดกว่าระบบอื่นๆ การออกฤทธิ์แบ่งได้เป็น 2 รูปแบบ คือมีฤทธิ์กัดกร่อนโดยตรงซึ่งจะเกิดอาการในทันที และการออกฤทธิ์ขัดขวางการทำงานของเซลล์ในร่างกาย ซึ่งจะปรากฏอาการทางผิวหนังให้เห็นภายหลังจากนั้นอีกหลายสิบนาทีหรือหลายชั่วโมง ดังตัวอย่างใน ตารางที่ 2
อาการทางคลินิก
-
สารกลุ่มนี้เข้าสู่ร่างกายทางระบบหายใจและทางผิวหนัง หลังจากได้รับพิษประมาณ 20 นาที ผู้ป่วยจะเริ่มมีการเปลี่ยนแปลงของหลอดเลือดบริเวณผิวหนัง อาการต่างๆจะปรากฏชัดเจนหลัง 4-12 ชั่วโมง ความรุนแรงของอาการขึ้นกับปริมาณสารที่ได้รับ อาการมีตั้งแต่เกิด มีอาการระคายเคืองที่เยื่อบุตา ม่านตา กระจกตา ผิวหนังมีอาการอักเสบ เป็นตุ่มพองแดงแบบน้ำร้อนลวก อาการทางระบบทางเดินหายใจคือ มีการอักเสบของหลอดลม ไอมีเสมหะ เจ็บแสบในคอ และไอเป็นเลือด จนถึงระบบหายใจล้มเหลว นอกจากนี้ สารกลุ่มนี้ยังตกค้างเป็นสารพิษในสิ่งแวดล้อม ได้อีกหลายปี
การรักษา
Antidote none
Symptomatic/Supportive care:
สำหรับ nitrogen mustard ให้รักษาดังนี้
-
Decontamination ให้เร็วที่สุดเพื่อป้องกัน tissue damage
-
ถ้าสารเข้าตา หลังล้างตาให้ป้ายตาด้วยขี้ผึ้งที่มียาปฏิชีวนะ
-
ถ้าถูกที่ผิวหนังจนเป็นแผลตุ่มพองให้ล้างด้วย tropical antibiotic ให้เจาะน้ำออกด้วยเข็มสะอาด แล้วใช้ผ้าก๊อซชุบน้ำยา dakin’s solution ปิดแผลไว้และเปลี่ยนผ้าก๊อซทุก 2-3 ชั่วโมง หลังจาก นั้น 4-5 วัน ให้ทาแผลด้วย 1% sulfadiazine วันละ 2 ครั้ง ทำจนกว่าผู้ป่วยจะเคลื่อนไหวบริเวณนั้นได้ดีขึ้น
การรักษาในกรณีของ lewisite เนื่องจากเป็นสารประกอบของสารหนู ดังนั้นให้ใช้ครีมขี้ผึ้งที่มี BAL (dimercaprol) ใช้สำหรับป้ายตา หรือทาผิวหนังในกรณีที่เกิดแผลตุ่มพองจะให้ผลในการรักษาที่ดีขึ้น
CHOKING AGENTS/LACRIMATORS
-
สารกลุ่มนี้เป็นสารที่ผลิตได้ง่ายและเป็นสารประกอบเบื้องต้นในการผลิตสารเคมีหลายอย่าง ดังตัวอย่างใน ตารางที่ 3
อาการทางคลินิก
-
สารกลุ่มนี้มีฤทธิ์ต่อระบบหายใจและระบบทางเดินอาหาร ผู้ที่ได้รับสารจะมีอาการเหนื่อยหอบ มีเสมหะเป็นน้ำใส มีอาการของการขาดออกซิเจน หลอดลมหดเกร็ง ปวดบวมน้ำ ผล arterial blood gas ผิดปกติ ในระยะต่อมาหัวใจด้านขวาจะทำงานล้มเหลว ความดันโลหิต ตก และอาจเสียชีวิตในที่สุด
การรักษา
Antidote none
Symptomatic/Supportive care:
-
ในกรณีที่สงสัยว่าผู้ป่วยอาจได้รับอาวุธพิษกลุ่มนี้ ให้รับผู้ป่วยไว้ในโรงพยาบาลเพื่อสังเกตอาการอย่างน้อย 6 ชั่วโมง บางครั้งอาจต้อง ถึง 24 ชั่วโมง การรักษาผู้ป่วยที่เกิดภาวะเป็นพิษจากสารกลุ่มนี้เหมือนกับผู้ป่วยที่เกิด adult respiratory distress syndrome (ARDS) จากสาเหตุอื่นๆ
-
นอกจาก chlorine และ phosgene แล้ว chloropicrine (CCll3NO2) เป็นอาวุธพิษอีกชนิดที่ถูกกล่าวถึงในสารกลุ่มนี้ ซึ่งอธิบายไว้ว่า chloropicrin เป็นสารเคมีที่ใช้ในทางการเกษตร โดยใช้พ่นเพื่อทำลายเชื้อที่เกาะกินเมล็ดธัญพืชและใช้ฆ่าแมลง ยังไม่เคยมีรายงานการใช้เป็นอาวุธสงคราม อาการทางคลินิกของสารชนิดนี้คือ ทำให้เกิดอาการระคายเคืองทางผิวหนัง ตา และระบบหายใจ ถ้าได้รับในปริมาณมาก อาจทำให้มีอาการ คลื่นไส้ อาเจียน ปวดท้อง และท้องเสียได้ เมื่อเกิดภาวะเป็นพิษก็ให้การรักษาตามอาการเช่นเดียวกัน
NERVE AGENTS
-
สารกลุ่มนี้เป็นสารพิษที่ใช้เป็นอาวุธกลุ่มที่สำคัญที่สุดในปัจจุบัน ตัวอย่างเช่น tabun (GA), sarin (GB), soman (GD) และ Vx ซึ่งทั้งหมดเป็นสารกลุ่ม organophosphate เช่นเดียวกับที่ใช้เป็นสารเคมีกำจัดศัตรูพืชในทางการเกษตร แต่ออกฤทธิ์อย่างรวดเร็วและมีพิษร้ายแรงกว่ามาก ดังตัวอย่างใน ตารางที่ 4
อาการทางคลินิก
-
สารกลุ่มนี้เข้าสู่ร่างกายได้ทางผิวหนังและทางการหายใจ ถ้าอยู่ในรูปของหยดของเหลวจะเป็นอันตรายมากที่สุด สามารถซึมผ่านเสื้อผ้า รองเท้าได้ เมื่อถูกดูดซึมเข้าสู่ร่างกายจะเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วในไม่กี่นาที ลักษณะอาการทางคลินิกของผู้ได้รับพิษจะเหมือนกับผู้ป่วยที่ได้รับพิษ จากสารเคมีกำจัดแมลง organophosphate คือจะมีทั้ง muscarinic effects, nicotinic effects และ CNS effects แต่รวดเร็วและรุนแรงกว่ามาก ผู้ป่วยจะเสียชีวิตได้ในระยะเวลาอันสั้น เนื่องมาจากระบบหายใจล้มเหลวเฉียบพลัน ซึ่งเกิดจากกล้ามเนื้อหายใจเป็นอัมพาตและศูนย์ควบคุมการหายใจถูกกดนั่นเอง
การรักษา
Antidote
-
1. Atropine
-
2.2-PAM (pralidoxime)
Symptomatic/Supportive care:
-
1. Decontamination เนื่องจากสารกลุ่มนี้มีพิษต่อระบบประสาทสามารถดูดซึมได้รวดเร็วมาก ในบางครั้งการล้างพิษในกรณีที่สัมผัสสารทางผิวหนัง อาจเป็นการเพิ่มการกระจายของสารพิษให้กว้างมากขึ้น ซึ่งก็จะเป็นการเพิ่มอาการระคายเคืองต่อผิวหนังและทำให้ความต้านทานทางธรรมชาติของผิวหนังลดลงด้วย
-
2. ดูแลเรื่องระบบทางเดินหายใจ ซึ่งส่วนมากจำเป็นต้องใช้เครื่องช่วยหายใจ
-
3. ให้การรักษาตามอาการอื่นๆ ที่อาจเกิดขึ้น เช่น ชัก coma
-
4. ในกรณีที่ผู้ป่วยไม่มีอาการผิดปกติใดๆ เลยตั้งแต่แรก ต้องสังเกตอาการต่ออีกอย่างน้อย 6-8 ชั่วโมง และควรคำนึงถึงเรื่องการเกิดอาการในระยะต่อมา (delayed onset) โดยเฉพาะในกรณีที่สัมผัสสารทางผิวหนังด้วย
เอกสารประกอบการเรียบเรียง
-
Poisindex staff editorial [Toxicology Information on CD ROM] Warfare agents. Poisindex system. Volume 110. Colorado: Micromedex; Inc, 2001.
-
Ellenhorn MJ. Chemical Warfare. In: Ellenhorn's Medical Toxicology Diagnosis and Treatment of Human Poisoning. 2 nd ed. Baltimore: Williams & Wilkins, 1997. p.1267-1304.
-
สุรจิต สุนทรธรรม, สุจินต์ อุบลวัตร. ภัยจากอาวุธพิษและ อุบัติภัยหมู่จากสารพิษ. ใน: สมิง เก่าเจริญ และคณะ. หลักการ วินิจฉัยและรักษาภาวะเป็นพิษ/สารพิษใ กรุงเทพฯ: หมอชาวบ้าน. 2541. หน้า 447-464.
|